Wednesday, December 25, 2013

EraOfGirls' Top 9 Films of the year 2013

9 อันดับภาพยนตร์ที่ชอบมากที่สุดในปี  2013  



1. Star Trek Into Darkness [สตาร์ เทรค ทะยานสู่ห้วงมืด / เจ.เจ. เอแบรมส์] 



เป็นภาคต่อของหนังในดวงใจเมื่อปี 2009 ที่ทำให้เรารู้สึกฟินตั้งแต่ช่วงไตเติลเปิดเรื่อง  
มันมาพร้อมกับฉากหน้าจดจำหลายฉาก  ที่ไม่ใช่มีแค่เทคนิคพิเศษอันน่าทึ่ง  แต่ยังรวมไปถึงการเล่นกับอารมณ์คนดู  โดยเฉพาะกับผู้ที่ชื่นชอบสตาร์  เทรคเป็นพิเศษ ที่อาจกรี๊ดได้ในหลายฉาก หนังมีความซีเรียส  แต่ก็ยังคงกลิ่นอายความเป็นไซไฟอวกาศแสนสนุกตามแบบฉบับเจ.เจ. เอแบรมส์  ที่มีทั้งมุมกล้องแปลกตา  ฉากแอคชั่นที่สร้างสรรค์ต่อยอด นำฉากจากภาค The Wrath of Khan มาทำใหม่ที่ทำให้เราขนลุกเกรียว เป็นหนังที่แม้ดูซ้ำ ๆ ก็ยังมีความรู้สึกเหมือนดูครั้งแรก  และทำให้น้ำตาซึมหลายครั้ง  ฉากที่ทรงพลังที่สุดคือ  การไล่ล่าในวาร์ป  สปีด  /  ฉากการพุ่งตัวในอวกาศจากยานเอนเตอร์ไพรส์ / ฉากที่ห้องปฏิกรณ์  หนังยังนำคำพูดสุดคลาสสิค "ศัตรูของศัตรู" มาตีแผ่ได้อย่างน่าสนใจ  และทำให้เรายิ่งรักกัปตันเคิร์กกับลูกทีมแห่งยานเอนเตอร์ไพรส์มากขึ้นจนถึงขั้นผูกพัน  แถมยังแอบให้ความรู้สึก "มันดูมีอะไร" ระหว่างเคิร์กกับสป็อคด้วย


2. Pacific Rim [แปซิฟิค ริม สงครามอสูรเหล็ก / กิลเลอโม เดล โทโร]


เป็นความ "สุดฟิน" ที่ได้มาจากการดูหนังในปีนี้ มันปลุกความเป็นเด็กที่ชอบเล่นหุ่นยนต์กลับมาอีกครั้งในระดับอลังการ แทบเรียกได้ว่าดูเสร็จก็เก็บมาฝันว่าขับเยเกอร์ออกไปซัดกับไคจูอยู่เลยทีเดียว หนังมีกลิ่นอายความเป็นอนิเมะหุ่นยนต์แบบญี่ปุ่นมาบวกกับสัตว์ประหลาดคลาสสิคของที่นั่น กลายเป็นจักรวาลใหม่ในโลกอนาคตที่จริง ๆ แล้วมันหม่นหมอง แต่สีสันฉูดฉาดในงานภาพที่ปรากฏในหนังทำให้เรารู้สึกว่ามันช่างตัดกันได้ดีเยี่ยม เต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก ชอบมันตั้งแต่แนวคิดที่กิลเลอโมบอกว่า "นี่ไม่ใช่หนังที่ประเทศเดียวเป็นฮีโร่กู้โลก แต่เป็นการที่ทั้งโลกร่วมกันพิทักษ์โลกเอาไว้" และยังแฝงเรื่องของความสามัคคีผ่านเงื่อนไขนักขับเยเกอร์ที่ต้องมีสองคน(ขึ้นไป)เพื่อช่วยกันพาเจ้ายักษ์เหล็กที่ฝ่ายมนุษย์สร้างขึ้นออกไปปราบยักษ์ประหลาดที่มาจากอีกพิภพหนึ่ง ดูแล้วให้ความรู้สึกว่ามันช่าง "โรแมนติก" เหลือเกินในแง่ของผลงานจากผู้กำกับที่หลงใหลโลกหุ่นยนต์ของญี่ปุ่นและชอบจินตนาการเรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก ๆ จนกระทั่งมันขึ้นมาโลดแล่นสู่จอภาพยนตร์ ดูแล้วรู้สึกฟินและฟินเพราะจับเอาส่วนประกอบของหนังหลายเรื่องที่เราชอบมาผสมกันได้กลมกล่อมที่สุด


3. Gravity [กราวิตี้ มฤตยูแรงโน้มถ่วง / อัลฟองโซ่ คัวร็อง]



ครั้งแรกที่เห็นรู้สึกว่าพล็อตเรื่องมันช่าง minimal เสียจริง ๆ กับการพยายามเอาตัวรอดในอวกาศของคนสองสามคน ซึ่งเนื้อเรื่องมันก็เหมือนจะมีอยู่แค่นั้นแต่กลับปรากฏออกมาในสเกลที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก เป็นหนังที่มีการสร้างเทคนิคพิเศษโดดเด่นเป็นนวัตกรรม ทำให้เรารู้สึกหลุดคว้างหลงอยู่ในอวกาศไปพร้อม ๆ กับตัวละคร มันสามารถสร้างบรรยากาศที่ทั้งสวยงามและน่าสะพรึงกลัวของอวกาศที่ทั้งหนาวเหน็บและดำมืดไปพร้อม ๆ กัน การเดินเรื่องอาจออกมาแนวตามสูตร แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนใครแน่ ๆ คือเรื่องนี้เป็นหนังอวกาศที่ใช้ลองเทคยาวถึงสิบกว่านาทีในการเปิดเรื่องที่ต้องขอคารวะ บวกกับการสร้างสภาวะสมจริงของ "ไม่มีเสียงในอวกาศ" อย่างที่หนังเรื่องอื่นใส่เอฟเฟกต์ระเบิดตู้มต้ามดังกระหึ่มทั้งที่เสียงเดินทางในสุญญากาศไม่ได้ แถมด้วยดนตรีประกอบที่เข้ามาเร้าหัวใจจนเราขนลุก และจริง ๆ แล้วทั้งเรื่องก็สอดแทรกปรัชญาการใช้ชีวิตและเอาตัวรอด ที่มาในเชิงสัญลักษณ์ของภาพและสถานการณ์ที่เข้ามาทดสอบดร. ไรอัน สโตน (แซนดร้า บูลล็อค) ว่าจะเลือกยอมจำนนกับความโหดร้ายเย็นชาของอวกาศหรือทนสู้ฝ่าฟันต่อไปเพื่อกลับสู่โลกที่อบอุ่นและสว่างสดใส


4. Fast And Furious 6 [ เร็วแรงทะลุนรก 6 / จัสติน ลิน]



คำโปรยของเรื่องนี้ที่บอกไว้ว่า "All roads lead to this" คือคำอธิบายหนังเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ยิ่งเรื่องเดินไปเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้เราแทบร้องเฮ้ยออกมากับความฉลาดกึ่ง ๆ ไปทางบ้าของผู้กำกับที่แอบวางหมากไว้ตั้งแต่ภาค Tokyo Drift ซึ่งเป็นผลงานแรกในแฟรนไชส์นี้ของจัสติน ลิน แล้วมาคลายปมทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกันทีเดียวในภาคนี้ น่าจะเรียกได้ว่าเป็นไคลแมกซ์ของไคลแมกซ์ที่จะทำให้ซีรี่ย์ Fast and Furious เป็นอมตะตลอดไป Furious 6 สลัดภาพลักษณ์ของหนังรถซิ่งบนท้องถนนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์นี้ออกไปหมด กลายเป็นหนังแอคชั่นไล่ล่าที่ใช้รถเต็มรูปแบบ แต่ก็ยังมีฉากแข่งซิ่งที่ทำให้เราหวนรำลึกไปถึงภาคแรก ๆ มันมีมุกตลกที่แทรกเข้ามาทำให้เราขำได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะความฮาหน้าตายของโรมัน เพียร์ซ (ไทรีส กิ๊บสัน) ที่ไม่เคยหายไปตั้งแต่ภาคสอง และจากการที่เรารู้สึกผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวดอม โทเร็ตโต้ไปแล้วก็เลยมีฉากที่สะเทือนใจอยู่พอสมควร ทุก ๆ การเฉลยคลายปมเหมือนโดนตบหน้าและทำให้เราอุทานว่าเหยดออกมาหลายครั้ง คำถามคาใจที่มีมาตลอดตั้งแต่ภาค 4-6 ก็เฉลยออกมาอย่างหมดเปลือกได้อย่างน่าขนลุกและทำให้เราแทบกรี๊ดสนั่นโรงกับฉากท้ายเครดิต

ปล. เมื่อพูดถึง The Fast ก็ยังช็อคไม่หายกับการจากไปของพอล วอล์คเกอร์ ที่เป็นคู่พระเอกกับวิน ดีเซลมาตั้งแต่ภาคแรกของแฟรนไชส์นี้ ก็ขอให้พักผ่อนอย่างสุขสบาย เราจะจดจำความประทับใจที่พอลได้มอบให้เราผ่านภาพยนตร์ตลอดไป

5. MARY IS HAPPY, MARY IS HAPPY [นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์]


หนังแนวก้าวผ่านวัยที่บ้าทะลุเพดาน "โคตรกระชาก" เหมือนที่ @marylony กล่าวไว้ ทำให้เราร้องเฮ้ยและอุทานว่า "เอาอย่างนี้เลยหรือ" อยู่หลายฉาก มันทั้งวายป่วง เวิ่นเว้อ เซอร์ไพรส์ เหมือนไทม์ไลน์ทวิตเตอร์ที่บางครั้งก็ไหลเร็วอย่างสนุกวุ่นวาย แต่ก็มีช่วงเงียบและแน่นิ่งมาก ๆ รวมทั้งบางทีที่ "อะไรของมันฟะ?" อยู่ด้วย  แม้ส่วนตัวอาจจะไม่เข้าใจความหมายได้ครบถ้วนตามที่ผู้กำกับต้องการสื่อ แต่แค่ทวิต "อยากขโมยเค้ก" ก็ขำค้างดังลั่นอยู่เป็นนาทีแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นมาก่อน

6. Elysium [เอลลิเซี่ยม / นีล บลอมแคมป์]
หนังเสียดสีสังคมแบ่งชนชั้นในคราบของไซไฟ-แอคชั่นที่ให้อารมณ์ดิบเถื่อนตัดกับความสวยงามราวสรวงสวรรค์บนสถานีอวกาศเอลลิเซี่ยมได้เป็นอย่างดี เป็นการนำโลกดิสโธเปียมาปะทะกับยูโธเปียแบบจะ ๆ แม้ว่าหนังจะดูเหมือนเน้นไปที่งานสร้างมากกว่าแก่นที่ต้องการสื่อ แต่พอคิด ๆ ไปมันก็สะท้อนสังคมปัจจุบันเหมือนที่นีลเคยทำไว้ใน District 9 อยู่ไม่น้อย คนชนชั้นล่างที่ต้องอยู่อย่างแออัดแร้นแค้นในสลัมที่ถูกพวกเศรษฐีในเมืองใหญ่กดขี่ให้ทำงานหนักเพื่อค่าแรงที่แทบไม่พอยาไส้ ถูกปฏิบัติไม่ต่างกับเครื่องจักรที่ถ้าพังก็แค่โละทิ้งอย่างไม่ใยดีที่อะไร ๆ ก็ดูขาดแคลนไปเสียหมด ในขณะที่บนสวรรค์ลอยฟ้ามีทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งบางทีก็มากเกินไปสำหรับคนบางคนจนทำให้ไม่รู้จักพอเหมือนรัฐมนตรีเดลาคอร์ท (โจดี้ ฟอสเตอร์) ที่เหมือนเป็นคนชั้นสูง แต่แท้จริงแล้วก็มีสัญชาติญาณดิบของความโลภที่ไม่ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป มันนำไปสู่การลุกฮือเตรียมก่อปฏิวัติของชนชั้นล่างที่ไม่รู้ตัวว่าจะต้องมาเจอแผนปฏิวัติรัฐประหารอีกทอดหนึ่ง ตัวละครของแมกซ์ ดา คอสต้า (แมตต์ เดม่อน) ที่ดูอึมครึมว่าเขาทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อเพื่อนมนุษย์บนโลก การปะทะกันของแมกซ์กับครูเกอร์ (ชาร์ลโต คอปลีย์) ทำให้นึกถึงการต่อสู้ของเครื่องจักรฝ่ายดี-ร้ายใน The Terminator ที่มีขีดพลังเกินมนุษย์และอาวุธล้ำยุคมาฟาดฟันกัน  และการแสดงของคอปลีย์ในเรื่องนี้ต้องเรียกได้ว่าปล่อยของและลูกบ้าออกมาจนน่าขนลุกสุด ๆ เลย มันเป็นหนังที่รู้สึกว่าฉากจบสะเทือนใจจนน้ำตาซึมและทรงพลังเอามาก ๆ  



7. The Internship [คู่ป่วนอินเทิร์นดูโอ้ / ชอว์น เลวี่] + Jobs [สตีฟ จ็อบส์ อัจฉริยะเปลี่ยนโลก / โจชัว ไมเคิล สเติร์น]





The Internshipเป็นเรื่องของเซลส์แมนเพื่อนซี้วัยทำงานที่ต้องถูกลอยแพเมื่อบริษัทที่ทำงานอยู่ปิดตัวลง เลยต้องหางานทำใหม่ ขณะที่บิลลี่ (วินซ์ วอห์น) เสิร์ชหาตำแหน่งงานว่างอย่างเคว้งคว้าง แต่แล้วชื่อของไอ้เว็บที่ใช้เสิร์ชอยู่เนี่ยมันก็ช่างโดดเด่นเสียจริง ๆ ก็เลยตัดสินใจไปฝึกงานกับ Google มันเสียเลย! เผื่อว่าจะส้มหล่นได้ทำงานกับบริษัทดิจิตอลยักษ์ใหญ่ระดับโลก จริง ๆ ไม่ได้ชอบดูหนังตลกของฝรั่งเท่าไหร่ แต่เพราะมันเกี่ยวกับ Google เลยสนใจอย่างยิ่ง รู้สึกเลยว่าหนังมัน Fresh มาก และถ่ายทอดบรรยากาศของออฟฟิศบริษัทที่ใคร ๆ ใฝ่ฝันออกมาได้อย่างยั่วยวนใจ สองพระเอกเป็นคนวัยผู้ใหญ่ที่โตมากับโลกอะนาล็อก แต่ดันทะลึ่งไปสมัครงานกับบริษัทจ้าวเทคโนโลยี เพราะเชื่อมั่นในทักษะการชักจูงใจและแถเก่งไม่เป็นรองใครตามแบบฉบับพนักงานขายของตัวเอง ซึ่งอีโก้ความเป็นผู้ใหญ่ที่คิดว่าตัวเองผ่านโลกมาเยอะ รู้ดีกว่าวัยรุ่นสมัยนี้ค่อย ๆ ถูกสั่นคลอนและตอกย้ำว่าความเชื่อเช่นนั้นมันหัวโบราณและไม่เป็นที่ต้องการของสังคมการทำงานยุคไซเบอร์ การฝึกงานที่ Google มีการจับกลุ่มแบ่งทีมให้แข่งขันทำโจทย์ที่ได้รับมอบหมาย และทีมไหนที่มีคะแนนมากที่สุดในตอนท้่ายก็คือผู้ชนะและจะได้ทำงานเต็มเวลากับ Google เงื่อนไขแบบนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนไปตอนสมัยเรียนซัมเมอร์อีกครั้ง บิลลี่กับนิค(โอเว่น วิลสัน) ต้องมาลงเอยกับกลุ่มที่เป็นเหมือนเศษเหลือเพราะไม่มีใครอยากจับร่วมทีมด้วย กลายเป็นเหมือนการรวมตัวของพวกขี้แพ้แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นม้ามืดที่มาแรงแซงโค้ง เพราะความคิดที่ประหลาดแปลกแยกแบบที่ทีมระดับเทพไม่มี และนั่นคือสิ่งที่ Google ต้องการในพนักงานของพวกเขา เอาเข้าจริง ๆ หนังมันไม่ค่อยตลกแต่ดูสนุกมากและมีการสื่อข้อความมายังสังคมก้มหน้าในปัจจุบันว่า โลกของเรายังมีอะไรเจ๋ง ๆ อีกเยอะ แค่เงยหน้าขึ้นมาอีกนิดหน่อยให้พ้นจากจอสี่เหลี่ยมก็จะพบเจอเอง แม้ตั้งแต่ต้นจนถึงบทสรุปจะไม่ค่อยมีอะไรเกินความคาดเดา แต่็ก็ชอบเหลือเกินในบรรยากาศที่ดูสดใหม่ และทำให้เรามองผลิตภัณฑ์ของ Google ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปจากเดิม สดชื่น เติมพลัง และฟีลกู๊ด

ส่วน Jobs ให้ความรู้สึกคล้ายกับ วัยรุ่นพันล้านภาค Apple การเริ่มจากศูนย์ของวัยรุ่นหัวขบถที่มีความมุ่งมั่นรุนแรงและสู้ไม่ถอยเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงการเทคโนโลยีและจะเปลี่ยนโฉมโลกใบนี้ด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มันคือความท้าทายของคนตัวเล็กที่เชื่อว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ด้วยแนวความคิดอันสุดโต่งนี้ทำให้จ็อบส์พาทั้งตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนมานักต่อนักเพราะเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ไม่ฟังเสียงคนรอบข้างแม้กระทั่งเพื่อนสนิทที่สุดของตน แต่ท้ายที่สุดมันก็พิสูจน์ให้โลกเห็นจริง ๆ แล้วว่า "คนที่บ้าพอที่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนโลกได้ คือคนที่ทำได้สำเร็จ" เราร้องว้าวในหลาย ๆ ฉากเพราะมีความสนใจด้านไอทีและเคยอ่านเรื่องราวของสตีฟ จ็อบส์มาบ้างแล้ว รู้สึกว่าหนังทำได้ดีทีเดียวแต่มันดันอารมณ์ออกมาไม่สุดเท่าไหร่ในหลาย ๆ ฉากที่ควรจะทำ บวกกับการเล่าชีวิตของจ็อบส์ที่มาจบแค่ช่วงเปิดตัว iPod รุ่นแรก ไม่มีพูดถึงการไปมีส่วนสำคัญของพิกซาร์ บริษัทอนิเมชั่นที่ตอนนี้โด่งดังระดับโลกส่วนหนึ่งเป็นเพราะจ็อบส์ และไม่มีการต่อสู้กับโรคร้ายที่จ็อส์เจอซึ่งถ้าใส่เข้ามาอาจจะทำให้คนอินกับหนังได้มากขึ้น แถมยังลำดับเรื่องแบบที่ถ้าคนไม่มีพื้นฐานเรื่อง Apple ก็จะมึนงงได้ แต่มันก็ให้แรงบันดาลใจอยู่ไม่น้อย  แม้จะถูกทำไปเปรียบเทียบกับหนังกำเนิด Facebook อย่าง The Social Network ว่าสู้ไม่ได้เลย แต่ส่วนตัวกลับรู้สึกว่า Jobs นั้นดูง่ายกว่า สนุกกว่า และทำให้เราสนใจ Apple ได้มากกว่า    

8. Ender's Game [เอนเดอร์เกม สงครามพลิกจักรวาล / เกวิน ฮู้ด] + The Hunger Games : Catching Fire [เกมล่าเกม 2 : แคชชิ่ง ไฟเออร์ / ฟรานซิส ลอว์เรนซ์]



หนังทั้งสองเรื่องว่าด้วยเด็กที่ต้องมาเป็นตัวเล่นในเกมของผู้ใหญ่ในสภาพที่ไม่จำยอมเท่าไหร่นัก Ender's Game เป็นหนังที่เนื้อหาจริงจังแม้จะมีเด็กวัยสิบกว่าขวบอยู่เต็มเรื่อง มีบทและฉากงานสร้างที่ดูล้ำยุคน่าตื่นตาตื่นใจ และแทบลุกขึ้นไปปรบมือเชียร์ตอนที่ไอ้หนูวิกกิ้น (เอซ่า บัตเตอร์ฟีลด์) บัญชาการรบในอวกาศด้วยความชาญฉลาดและว่องไวเป็นหนักหนา แต่ความอัจฉริยะของเด็กบางทีก็ไม่ทันเกมเล่ห์เหลี่ยมของผู้ใหญ่ที่สมคบคิดกัน แม้จะดูมีเหตุผลอันสมควรก็ตาม

ในขณะที่คนส่วนใหญ่บอกว่า Catching Fire เน้นหนักไปในเนื้อหาการลุกขึ้นสู้ของสังคมที่โดนกดขี่ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่ามันสะท้อนพวกรายการแนวเรียลลิตี้โชว์ตามช่องทีวี จากผู้หญิงบ้านนอกที่ไม่มีใครรู้จักเมื่อกลายเป็นแชมป์ก็จะไม่มีชีวิตที่สงบเหมือนเดิมได้อีกต่อไป ต้องพูดตามสคริปต์ เล่นบทโรแมนติกตามที่โดนบังคับ และฝืนยิ้มตามคำสั่งทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้อย่างเจ็บปวด หนังมาพร้อมกับฉากที่ทรงพลังและสะเทือนใจติดตา เกมล่าชีวิตครั้งที่ 75 มาพร้อมองค์ประกอบที่ใหญ่ขึ้น แต่ถ้าเทียบกันแล้วภาคแรกกลับให้อารมณ์ดิบได้มากกว่า แต่ในภาค Catching Fire ก็สามารถทำออกมาได้สนุกชวนลุ้น และฉากยิงธนูขึ้นฟ้านี่ต้องขอบอกว่าขนลุกเกรียวจริง ๆ 

9. Cold Eyes [감시자들 / โชอึยซอก]


หนังเกาหลีเกี่ยวกับหน่วยสอดแนมพิเศษของกรมตำรวจที่เชี่ยวชาญด้านการสะกดรอยในภารกิจไล่ล่าอาชญากรตัวอันตรายที่รู้เท่าทันตำรวจทุกฝีก้าวและเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง ฮายุนจู (ฮันฮโยจู) เข้ามาเป็นตำรวจหญิงหน้าใหม่ในหน่วยสอดแนมนี้่และถูกตั้งชื่อรหัสให้ว่า "หมูน้อย" เป็นผลงานรีเมคจากหนังฮ่องกงปี 2007 ชื่อ Eye In The Sky (พลิกเกมทรชน คนเหนือเมฆ)

ที่หลงรักหนังเรื่องนี้มากที่สุดก็คือแคแรกเตอร์ของฮายุนจูนี่เอง ตอนต้นเราจะเห็นว่าเธอมีพรสวรรค์ด้านสายตาที่ว่องไวมากกว่ามนุษย์ธรรมดา แต่ไป ๆ มา ๆ ก็รู้สึกว่าเธอมีจุดอ่อนที่ทำให้พลังพิเศษนั้นดูไม่มั่นคงเอาเสียเลย ทำให้เป็นนางเอกที่ดูน่าปกป้อง เต็มไปด้วยบุคลิกย้อนแย้งในตัวเอง ทั้งเข้มแข็ง/อ่อนไหวไปในเวลาเดียวกัน และถ้ามองจากสายตาส่วนตัวแล้ว พระเอกของเรื่องนี้ก็คือตัวฮายุนจูเองนี่แหละ ด้วยความห้าวและบุคลิกที่ทำให้นึกถึงแอลในเรื่องเดธโน๊ต กลายเป็นตัวละครที่หลงรักจนตั้งตัวไม่ทัน ทั้งโคตรเท่และน่ารักมาก และทำให้ฮันฮโยจูคว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมของ Blue Dragon Film Awards ครั้งที่ 34 จากบทนี้ไปในที่สุด

ในส่วนของการเดินเรื่องก็ทำออกมาได้กดดัน ลุ้นระทึก และค่อนข้างโหดดิบตามแบบฉบับหนังเกาหลี มีการเลือกใช้มุมกล้องหลากหลายที่ช่วยเพิ่มความน่าตื่นเต้น ปฏิบัติการแต่ละครั้งของหน่วยสอดแนมต้องอาศํยไม่ใช่เพียงแค่ทักษะการสังเกตสะกดรอยที่ว่องไว แต่ต้องมีความเป็น "ทีมเวิร์ค" ที่ยอดเยี่ยมในการไล่ล่าเป้าหมายและปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ที่ทำให้นึกถึงหนังแนว Now You See Me / Mission Impossible 



ของแถม:

ซีรี่ย์แห่งปี 2013 : Hanzawa Naoki [半沢直樹]



เป็นละครญี่ปุ่นที่เฉือนคมกันแบบดุเด็ดเผ็ดมันอย่างร้ายกาจ ตอนแรกที่ดูเห็นว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับธนาคาร ก็คิดว่ากลัวจะดูไม่รู้เรื่อง แต่ละครกลับทำให้มันดูง่ายและสนุกจนจุกเลยทีเดียว ฮันซาว่า นาโอกิ (มาซาโตะ ซากาอิ) พี่แกเล่นได้บ้ากระจุยกระจายมาก เป็นนายธนาคารผู้ไม่มีวันยอมก้มหัวให้ใคร กล้าท้าชนไม่ว่าจะใหญ่หรือมีอำนาจแค่ไหน สู้ไม่ถอยด้วยความฉลาดและไหวพริบเป็นเลิศ แถมยังมีทักษะการฟันดาบที่ทำให้เรานึกถึงเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ตลอด 10 ตอนอัดแน่นด้วยฉากกดดันลุ้นระทึก ตื่นเต้นจิกเบาะตัวเกร็ง โอ้ยมันสุดยอดมาก เป็นตัวอย่างของการเขียนบทที่แน่นและอัจฉริยะ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคนิคอลังการงานสร้างอะไรเลยก็สามารถทำให้น่าติดตามกันมากขนาดนี้ และยังมีการเล่นมุมกล้องที่กดดันคล้ายบางช่วงตอนของหนังสยองขวัญญี่ปุ่นเลยทีเดียว

จุดที่น่ารักของละครเรื่องนี้ คือมันเหมือนกับพระเอกออกไปลุยสงครามชีวิตที่โหดร้ายทุกวันด้วยความห้าวหาญและกัดศัตรูไม่ปล่อย แต่พออยู่ที่บ้าน ต่อพออยู่ที่บ้านต่อหน้าภริยา แกจะเป็นคนที่อบอุ่นขี้เล่น ไม่เอาเรื่องโมโหร้ายมาโยนใส่เลย นอกจากนี้ในหนังก็ยังมีมิตรสหายยามยากของฮันซาว่า ที่ทำให้เรารู้สึกซาบซึ้งได้ทุกครั้ง เพราะเป็นเพื่อนที่เรียกว่า ถึงไหนถึงกัน!


เพลงแห่งปี 2013 : Flyers (โดย Girls' Generation) 



โอ้วเพลงมันเพราะมาก ชอบจังหวะ ทำนอง แสนสนุกเหมือนเพลงประกอบอนิเมชั่นญี่ปุ่นสุด ๆ ฟินเว่อร์ ๆ

กางแขนสองข้างออกมาให้เหมือนดั่งปีก แล้วพุ่งทะยานไปอย่าได้ลังเล~
ลุกขึ้นมา! ลุกขึ้นมา! ลุกขึ้นมา! บินไปให้สูงสุดฟ้า!


แอพพลิเคชั่นแห่งปี 2013 : Tweetcaster for Twitter



เป็นแอพฯเล่นทวิตเตอร์วายร้ายแสนรักที่ขาดเธอไปไม่ได้ วันนึงอยู่กับแอพฯนี้นับสิบชั่วโมง เรียกได้ว่าเสพย์ติด มีบางครั้งที่มันทั้งล่ม ค้าง ปัญหาบั๊กดูจะมีอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็เป็นแอพพลิเคชั่นเล่นทวิตเตอร์บนแอนดรอยด์ที่ฟังก์ชั่นครบที่สุด จัดวาง UI ได้สะดวกที่สุด (แม้หน้าตาไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่) เป็นแอพฯที่ผูกติดกับชีวิตมาก ๆ จนตอนนี้ยังหาแอพฯไหนมาแทนการใช้งานไม่ได้ครบ 100%

ประโยคเด็ดแห่งปี 2013 : "ดิฉันก็ถอยจนไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้วค่ะ"

โอ้วมันเป็นปรากฏการณ์จริง ๆ เลยประโยคนี้








Tuesday, June 11, 2013

คลิปเบื้องหลังของ Need for Speed ฉบับหนังออกมาซิ่งแล้ว พร้อมเนื้อเรื่องย่อ


คืบหน้าล่าสุดกับภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากแฟรนไชส์เกมแข่งรถยอดฮิตตลอดกาลอย่าง Need for Speed ทางสตูดิโอบ้านของเกม อีเล็คทรอนิกส์ อาร์ต (EA) ได้จัดงาน E3 เอ็กซ์โปในลอส แองเจลิส พร้อมเผยโฉมผลงานเกมใหม่ๆที่ยั่วน้ำลายคอเกมทั่วโลก แถมยังปล่อยคลิปตัวอย่างแรกที่มาพร้อมเบื้องหลังการถ่ายทำของ Need for Speed มากระตุ้นต่อมความอยากกันอีกต่างหาก

โทบี้ มาร์แชล(รับบทโดยแอรอน พอล)ช่างเครื่องยนต์รถแบบมัสเซิลและนักซิ่งแห่งท้องถนน ถูกใส่ร้ายในอาชญากรรมที่เขาไม่ได้ก่อขึ้น เมื่อเขาออกจากคุกมาแล้ว โทบี้ก็พร้อมที่จะมุ่งชำระแค้นกับคนที่ทำให้เขาต้องโทษ เขาได้ซิ่งระห่ำไปบนท้องถนนทั่วประเทศ จากการแก้แค้นในตอนแรกได้กลายเป็นการกู้ศักดิ์ศรีของเขาคืนกลับมา 



"Need for Speed" ของค่ายดรีมเวิร์คสพิคเจอร์สกำกับโดยสก็อตต์ วอกห์ (จากAct of Valor หน่วยพิฆาตระห่ำกู้โลก ) ร่วมแสดงโดย โดมินิค คูเปอร์ (จาก Captain America), รามอน โรดิเกวซ, รามิ มาเลค, อิโมเกน พูทส์(จาก Fright Night), ดาโกต้า จอห์นสัน,ก็อตต์ เมสคิวดิและไมเคิล คีตัน(Batman ต้นฉบับ) ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำ กำหนดฉายที่อเมริกา 14 มีนาคม 2014 

และบทความนี้จาก Comingsoon ก็เผยด้วยว่าฟอร์ด-ค่ายผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จะเป็นสปอนเซอร์หลักให้กับหนังเรื่องนี้ โดยมีฟอร์ด มัสแตง รุ่นออกแบบและปรับแต่งพิเศษคันที่เห็นในคลิปเป็นรถพระเอกนั่นเอง  



นับว่าเป็นหนังรถแข่งบนท้องถนนอีกเรื่องต้องจับตามอง เพราะสร้างมาจากแฟรนไชส์เกมรถแข่งที่เป็นตำนานและรู้จักไปทั้งโลก อาจหนีไม่พ้นการถูกนำไปพูดเปรียบเทียบกับ Fast and Furious ที่กลายเป็นยี่ห้อของหนังรถแข่งไปแล้ว แต่  Need for Speed ก็มีเอกลักษณ์ในแบบของมันครับ 

คลิกชมคลิปเบื้องหลังพร้อมฉากตัวอย่างได้ด้านใน


                                     


By: EraOfGirls

Wednesday, May 15, 2013

มาร์เวลทำหนังสั้นเผยเรื่องราวของเพ็คกี้ คาร์เตอร์หลังเหตุการณ์ใน Captain America ภาคแรก





เฮย์ลีย์ แอทเวลล์ ผู้รับบทเพ็คกี้ ตาร์เตอร์ คนรักของกัปตันอเมริกาในยุคอดีตออกมาเผยกับทาง The Big Issue ว่า "แฟนๆของหนังภาคแรกอยากรู้มากเลยค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพ็คกี้หลังจากนั้น ทางมาร์เวลเลยกำลังทำหนังสั้นออกมา เกี่ยวกับว่า 'เพ็คกี้ทำอะไรต่อหลังจากนั้น' ซึ่งหนังสั้นนี้จะฉายในงาน Comic-Con และจะอยู่ในโบนัสพิเศษของดีวีดีหนังภาคสองด้วยค่ะ ก็คือนอกจากจะมารับบทเล็กๆในหนังภาคใหม่แล้ว ก็มีหนังสั้นแยกเดี่ยว(ของเพ็คกี้)ด้วยค่ะ การได้กลับมาฝึกกับผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์และได้กลับมาลุยบู๊อีกครั้งเป็นเรื่องที่ดีมากๆค่ะ"

ซึ่งเฮย์ลีย์ แอทเวลล์เองก็จะกลับมารับบทใน Captain america: The Winter Soldier ด้วย แต่คาดกันว่าน่าจะเป็นในฉากเล่าย้อนอดีตมากกว่า โดยเธอเองเป็นคนเสนอไอเดียหนังสั้นเกี่ยวกับตัวเพ็คกี้ คาร์เตอร์มาตั้งแต่แรก จนมาร์เวลตอบรับความปรารถนา และนำมาสร้างเป็นหนังสั้นตอนเดียวจบนั่นเอง  

Captain America: The Winter Soldier กำหนดฉายเดือนเมษายนปี 2014

Source: Total Film; George Wales

Friday, May 3, 2013

เท่ระห่ำกู้ชาติในใบปิดใหม่ White House Down ของผู้กำกับจอมถล่มโลก Roland Emmerich


พร้อมทวงอำนาจของชาติคืน 29 สิงหาคมนี้ เข้าฉายประเทศไทย

via thefilmstage

By: EraOfGirls

โปสเตอร์อภิมหึมามหาใหญ่ยักษ์ของ Pacific Rim

ใหญ่ยักษ์อลังการปานจอ IMAX ขนาดนี้ คลิกด้านในเพื่อชมภาพขนาดเต็มๆ



ขนาดภาพไฟล์เท่ากับ 15 MB กว่าๆ ใหญ่ดีไหมล่ะ

Pacific Rim พร้อมเคลื่อนพลถล่มอสูรกายยักษ์ 11 กรกฎาคมนี้

via Comingsoon; Warner Bros. Pictures

By: EraOfGirls

ฉากใหม่เพียบในตัวอย่าง White House Down หนังถล่มทำเนียบขาวล่าสุด จัดเต็มทั้งแอคชั่นและ...

 


White House Down วินาทียึดโลก 

พร้อมบุกถล่มทำเนียบ 29 สิงหาคมนี้


ตลกร้ายนะ ว่าไหม?

via joblomovienetwork

By: EraOfGirls

Thursday, May 2, 2013

เผยภาพคอนเซปต์อาร์ตใหม่จาก Captain America: The Winter Soldier พร้อมเรื่องราวเพิ่มเติม

ประธานแห่งสตูดิโอมาร์เวล เควิน ฟีกจ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Entertainment Weekly เกี่ยวกับ Captain America: The Winter Soldier ว่า 

"เราจะไม่กลับไปเล่าเรื่องตอนสงครามโลกครั้งที่ 2ครับ กัปตันเดินทางข้ามเวลาไม่ได้ เพราะฉะนั้นในขณะที่โทนี่(สตาร์ค)ได้กลับบ้านที่มาลิบูและธอร์ก็กลับขึ้นสู่อาณาจักรแอสการ์ดกับฮัล์คที่คงพเนจรไปไหนสักที่ กัปตันของเรากลับติดแหงกครับ เขาเลยต้องอยู่กับหน่วยชีลด์ (S.H.I.E.L.D.)แทนเพราะไม่มีที่อื่นให้ไปแล้ว แต่อยู่ที่นั่นเขาก็ไม่ค่อยจะสบายใจสักเท่าไหร่นัก  และเมื่อเขาได้รับอนุญาตให้ปล่อยวางเรื่องในอดีตและตั้งใจอยู่กับโลกยุคปัจจุบันแทนนั้น ปีศาจก็โผล่มาครับ ในยุคสมัยที่รุ่งเรื่องที่สุดตอนยุคสงครามโลกครั้งที่2 มีแนวโน้มที่จะสะท้อนดูช่วงเวลานั้นแล้วบอกว่า 'สมัยนั้นทุกอย่างมันคลุมเครือ และตอนนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าใครเป็นวายร้ายกันแน่ 'เราอยากจะทดสอบกับกัปตันเล่นๆดูในยามที่เขารู้สึกอึดอัดใจกับแนวทางที่หน่วยชีลด์และนิค ฟิวรี่ปฏิบัติครับ' "


นอกจากบทสัมภาษณ์เควิน ฟีกจ์แล้ว ทาง Entertainment Weekly ยังได้เผยภาพคอนเซปต์อาร์ตของ Captain America: The Winter Soldier ออกมาด้วย ชายที่อยู่ในภาพก็คือ The Winter Soldier อดีตเพื่อนรักของกัปตันอเมริกาที่กลับมาเป็นศัตรูและตัวร้ายหลักของภาคต่อเรื่องนี้เอง





ช่วงนี้ก็มีความคืบหน้าที่ค่อยๆเผยออกมาเรื่อยๆในขณะที่ Iron Man 3 กำลังกวาดถล่มรายได้ในบ้านเราอยู่ แล้วเดี๋ยวจะตามมาด้วย Thor: The Dark World (ธอร์: โลกาทมิฬ) ในวันที่ 7 พฤศจิกายน ก่อนที่ Captain America: The Winter Soldier จะฉายในช่วงเดือนเมษายนปีหน้า (2014) ปิดท้าย  Guardians of the Galaxy ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ก่อนที่ฮีโร่ทั้งหมดจะกลับมารวมพลกันใน The Avengers 2 เดือนพฤษภาคมปี 2015 โน่น


ใครที่อดใจรอไม่ไหวก็ไม่ต้องห่วง ตอนนี้นักแสดงกับผู้สร้างก็ได้เรียกชื่อของ Captain America: The Winter Soldier เล่นๆว่าเป็น The Avengers 1.5 เพราะมีทั้งหน่วยชีลด์และแบล็ค วิโดว์-นาตาชา โรมานอฟ กับฮีโร่อื่นๆมาร่วมสมทบด้วย ฟังๆไปก็เหมือนกับว่าผู้กองสตีฟของเราไม่ได้ฉายเดี่ยวเหมือนอย่างเฮียโทนี่หรือพี่ธอร์เขาเท่าไหร่นัก


via COMICBOOKMOVIE; DCMarvelFreshman


By: EraOfGirls

Tuesday, April 30, 2013

วิ่ง สู้ แฮค ในตัวอย่างใหม่ของเกม Watch Dogs

ค่ายเกม Ubisoft เผยตัวอย่างใหม่ของเกม Watch Dogs พร้อมกำหนดวันวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายนของปีนี้


 

ใน Watch Dogs ผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็น Aiden Pearce ชายผู้วางตัวเองเป็นศาลเตี้ย ออกแนวฮีโร่ขบถ ความสามารถหลักของเขาคือการที่สามารถแฮคเข้าไปในระบบศูนย์ปฏิบัติการส่วนกลางของชิคาโก้ (ctOS) ทำให้เขาเหมือนควบคุมเมืองทั้งเมืองไว้ในมือ ด้วยการเข้าควบคุมแทบทุกอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ โดยผ่านทางอุปกรณ์เล็กๆในมือ ก็สามารถใช้มันเป็นอาวุธที่ทรงพลังในการต่อกรกับทุกสิ่งได้

จากตัวอย่างฉบับนี้จะเห็นได้ว่าทางค่ายเกมไม่ได้เน้นเรื่องการแฮคเท่าไหร่นัก แต่เผยให้เห็นระบบการเล่นที่เน้นแอคชั่นไล่ล่าระห่ำ โดยเฉพาะการขับรถที่ถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของเกม

Watch Dogs จะวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม Xbox 360, PS3, PC และ Wii U ที่แถบอเมริกาเหนือในวันที่ 19 พฤศจิกายน และในทวีปยุโรปวันที่ 22 พฤศจิกายนตามลำดับ ทั้งนี้ Ubisoft ยังเผยด้วยว่าเกม Watch Dogs จะปล่อยออกมาสำหรับเครื่อง PS4 (คาดว่าจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนเช่นเดียวกัน) และ Xbox รุ่นใหม่อีกด้วย

คลิปตัวอย่าง Watch Dogs ก่อนหน้านี้จะชูจุดเด่นที่แปลกและน่าสนใจอย่างการแฮคมาแนะนำเกม ให้ได้เห็นความหลากหลายและความเปิดกว้างคล้ายๆเกมในตระกูล Grand Theft Auto ที่มีความแตกต่างอยู่ตรงที่ผู้เล่นสามารถใช้การแฮคมาเป็นตัวช่วยและเป็นอาวุธได้อย่างแหวกแนวและน่าตื่นตาตื่นใจ

Watch Dogs ยังเสนอให้เห็นแนวความคิดที่ว่า ในโลกที่คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทกับระบบแทบทุกอย่างในเมือง ทั้งการจราจร การขนส่ง ระบบรักษาความปลอดภัย ที่รวมศูนย์ไว้ที่เดียวกันนั้น ก็ยิ่งหมายความว่ากำลังใส่พานถวายให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายไซเบอร์นั่นเอง

via Cinemablend; Pete Haas

By: EraOfGirls


Monday, April 29, 2013

เผยคลิปแรกจาก Snowpiercer หนังยุคน้ำแข็งวันสิ้นโลก

เผยกันออกมาแล้วสำหรับฟุตเทจแรก ที่ผสมผสานทั้งภาพเบื้องหลังบางส่วนและเป็นเหมือนตัวอย่างไปในเวลาเดียวกัน กับหนังแนวแอคชั่น-ดราม่า-ไซไฟที่มีชื่อว่า Snowpiercer ผลงานจากผู้กำกับชาวเกาหลี บองจุนโฮ จากเรื่อง The Host-อสูรกลายพันธุ์ ที่เคยโด่งดังมากๆในประเทศเกาหลี ที่หนนี้ขอโกอินเตอร์ด้วยการนำนิยายกราฟฟิกจากฝรั่งเศสชื่อ  Le Transperceneige ของ Jacques Lob และ Jean-Marc Rochette มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์

โดยได้นักแสดงชื่อดังอย่างคริส อีแวนส์ ที่พลิกโฉมจากกัปตันอเมริกามารับบทที่ดูเครียดขรึมและเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม (มีลักษณะคล้ายกับที่เขาเคยเล่นไว้ในเรื่อง Sunshine ช่วงต้นๆ) สมทบกับดาราระดับใหญ่ๆอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น ทิลด้า สวินตั้น, เอ็ด แฮร์ริส, จอห์น เฮิร์ท, เจมี่ เบลล์ และยังมีนักแสดงชาวเกาหลีอย่างซงคังโฮร่วมด้วย

 

Snowpiercer เล่าถึงเรื่องราวโลกในอานาคตอันใกล้ (บ้างกล่าวว่าเป็นปีค.ศ.2031) หลังจากการทดลองเพื่อพยายามหยุดสภาวะโลกร้อนเกิดผิดพลาด ทำให้เกิดยุคน้ำแข็งที่คร่าชีวิตมนุษยชาติเกือบหมดสิ้น เหลือแต่เพียงกลุ่มผู้นอดชีวิตที่อาศัยอยู่ใน Snowpiercer, อันเป็นรถไฟที่วิ่งไปรอบโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์พลังงานนิรันดร์ โดยมีการแบ่งระบบชนชั้นภายในรถไฟ ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติ

กลุ่มมนุษย์ที่เหลือรอดถูกแบ่งชนชั้นทางสังคมอย่างเข้มงวดโดยกลุ่มที่ยากจนที่สุดจะอยู่ท้ายขบวน และพวกที่ร่ำรวยไฮโซจะอยู่หน้าขบวน  การปฏิวัติที่เริ่มต้นจากส่วนท้ายขบวนจะไม่ยอมหยุดยั้งจนกว่าจะถึงด้านหน้าของรถไฟ

ขณะนี้ Snowpiercer (설국열차) อยู่ในช่วงหลังการถ่ายทำ และถือเป็นภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของผู้กำกับบองจุนโฮที่กล่าวไว้ว่าร้อยละ 80 ของภาพยนตร์ถ่ายทำเป็นภาษาอังกฤษ เป็นความร่วมมือกันระหว่างทีมงานทั้งชาวเกาหลีและอเมริกัน



Snowpiercer ยังไม่มีวันกำหนดฉาย แต่จะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายนของปีนี้

via Comicbookmovie; Mark julian

By: EraOfGirls

Tuesday, April 23, 2013

ตัวอย่างแรก Thor: The Dark World เทพเจ้าสายฟ้ากลับมา!


มาร์เวลได้ปล่อยตัวอย่างทางการแรกของ Thor: The Dark World (ธอร์: โลกาทมิฬ) ออกมาให้ดูแล้วตามสัญญา เข้าฉาย 7 พฤศจิกายนนี้ในประเทศไทย

รักสามเส้าที่เนื้อเรื่องบอกไว้ ธอร์-เจน-ซิฟ...

แต่ทำไมเราเห็น ธอร์-เจน-โลกิมีน้ำหนักกว่าซะงั้น

ธอร์: "เราสัญญาแล้วว่าจะกลับมาหาเธอ"

โลกิ: "จะให้เริ่มกันเมื่อไหร่ล่ะ" 

กรี๊ดด...แต่ประโยคของโลกิทำไมมันไปคล้ายๆกับจอห์น แฮริสัน (เบเนดิคต์ คัมเบอร์บาชต์) ใน Star Trek Into Darkness ล่ะเนี่ย 

ฺBy: EraOfgirls

Monday, April 22, 2013

ภาพนิ่ง HD จาก Thor: The Dark World พร้อมเนื้อเรื่องคร่าวๆ

หลังจากใบปิดทางการแรกที่ปล่อยออกมาเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน วันนี้ก็มีภาพนิ่งจากภาคต่อของภาพยนตร์เทพเจ้าสายฟ้าออกมาให้ชมก่อนที่ตัวอย่างจะตามมาในไม่ใช้า (คาดกันว่าจะเป็นพรุ่งนี้: 23 เมษายน)



ในภาพแรกนี้ก็เป็นธอร์คู่กับหญิงคนรัก เจน ฟอสเตอร์ (รับบทเดิมโดยนาตาลี พอร์ทแมน) ขณะที่พาเดินชมสถานที่ในแอสการ์ดอันเป็นบ้านของธอร์



ส่วนในภาพถัดมานี้คือธอร์กับอาวุธค้้อนคู่ใจ ที่ดูเหมือนจะเป็นการตั้งรับการโจมตีของศัตรูในป่า ส่วนที่อยู่ทางด้านซ้ายน่าจะเป็นนักรบแอสการ์ดในชุดเกราะนั่นเอง



โดยในภาคสองนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าจะมีโทนเนื้อเรื่องที่มืดหม่นกว่าภาคแรก ส่วนหนึ่งคงจะเป็นเพราะได้ผู้กำกับอลัน เทย์เลอร์ จากซีรีส์ Game Of Thrones มากุมบังเหียนด้วย


ธอร์เดินทางกลับมายังโลกมนุษย์และได้เจอกับเจน ฟอสเตอร์อีกครั้ง และมั่นใจว่าเจนคงไม่ลืมเรื่องที่เขาไม่ได้ไปหาเธอในครั้งล่าสุดที่เขากลับมาโลก(เหตุการณ์ในเรื่อง The Avegers ธอร์กลับมาช่วยกู้โลก แต่ไม่ได้ไปหาคนที่เขารัก)

"ธอร์มีเรื่องมากมายที่เขาจะต้องอธิบายและชดเชยในสิ่งที่เขาทำลงไป" คริส เฮมส์เวิร์ธ ผู้รับบทธอร์กล่าว พร้อมกับเสริมว่าขนาดเทพเจ้ายังเจอศึกหนัก มนุษย์โลกมีหรือจะปลอดภัย

และเรื่องที่เข้มข้นขึ้นก็คือคราวนี้ชีวิตของเจนตกอยู่ในอันตราย ธอร์เลยต้องพาเธอกลับไปยังแอสการ์ด

"ในขณะที่ธอร์เป็นเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงบนโลกในธอร์ภาคแรกและดิอเวนเจอร์ส กลับกันคราวนี้เจนจะเป็นเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงในแอสการ์ดบ้างล่ะครับ" เควิน ฟีกจ์ โปรดิวเซอร์ (และเป็นประธาน) ของสตูดิโอมาร์เวลกล่าว

นอกจากธอร์จะต้องเผชิญปัญหาเรื่องมาเลคิทธ์(แสดงโดยคริสโตเฟอร์ เอคเคลสตัน)อันเป็นเผ่าดาร์คเอล์ฟตัวร้ายแล้ว ยังจะต้องมาเจอรักสามเส้าระหว่าตัวเขา เจน และนักรบนามซิฟที่ถูกจับตามองโดยพ่อแม่ของเขาซึ่งไม่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

"มันเป็นหนังแอ็คชั่นซุเปอร์ฮีโร่ แต่ก็ยังมีพล็อตของเรื่องรักสามเส้าแบบที่พอ่แม่คิดว่าแฟนของคุณไม่เหมาะสมกับคุณด้วย" ฟีกจ์กล่าว "หนังสุดยอดแนวๆนี้ก็ใช้วิธีนี้แหละครับ"

และในภาคต่อนี้ก็จะมีฉากแอ็คชั่นมากมายพร้อมทั้งการต่อสู้ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วย

"ผมอยากจะพัฒนาทักษะการสู้รบของเขาให้มากขึ้นครับ" เฮมส์เวิร์ธเล่า "เขาไม่ได้เป็นแค่พวกไวกิ้งที่เอาแต่เขวี้ยงค้อน คราวนี้เขาจะเป็นเทพเจ้าที่มีลีลาการเคลื่อนไหวแบบที่เราไม่เคยเห้นมาก่อนครับ"

ภาคนี้ธอร์จะเจอปัญหาซับซ้อนรุมเร้า เลยต้องไปขอความช่วยเหลือโลกิที่นั่งเล่นอยู่ในเรือนจำของแอสการ์ด

"การขอความช่วยเหลือจากโลกิทำให้ทุกอย่างพลิกผัน และทำให้เราได้สำรวจความสัมพันธ์ซับซ้อนที่มีอยู่ของทั้งคู่ มันเลยกลายเป็นลงเอยคล้ายๆกับเกมหมากรุก" - คริส เฮมส์เวอร์ธ


หลังจาก Iron Man 3 ออกฉายเป็นเรื่องแรกในเฟสสองของภาพยนตร์ฮีโร่แห่งทีมอเวนเจอร์สของมาร์เวล Thor: The Dark World (ธอร์: โลกาทมิฬ) จะเข้าฉายบ้านเราในวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้

นี่คือใบปิดแรกอย่างเป็นทางการของ Thor: The Dark World:



Source: Total Film; Matt Maytum, USA Today via Comingsoon, Comicbookmovie, Major Cineplex

By: EraOfGirls

Sunday, April 21, 2013

เผยโฉมใบปิดแบบคอมิกอาร์ตของ Iron Man 3 ผลงานของศิลปินแห่งค่ายมาร์เวล

ก่อนจะเข้าฉายในบ้านเราวันที่ 1 พฤษภาคมนี้แล้ว ก็มีการโปรโมทมาเป็นระยๆไม่ขาดสายกับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลภาคต่ออย่าง Iron Man 3 และเมื่อเร็วๆนี้ทางมาร์เวลก็ได้เผยโฉมเซ็ทของใบปิดแบบพิเศษซึ่งเป็นแนวเหมือนในหนังสือการ์ตูนออกมาให้ได้ยลโฉมกัน

เป็นแคมเปญที่ทางมาร์เวลจัดร่วมกับแบรนด์ร้านขายพิซซ่า Red Baron ให้คนเข้าไปร่วมสนุกในหน้าแฟนเพจของร้านเพื่อลุ้นรับของรางวัลเป็นใบปิดแบบพิเศษนี้ และในแต่ละสัปดาห์จะมีรางวัลใหญ่คือใบปิดแบบที่มีลายเซ็นจากนักแสดงของเรื่อง Iron Man 3 ด้วย ซึ่งใบปิดที่จะได้เห็นดังต่อไปนี้ก้เป็นผลงานของศิลปินแห่งค่ายมาร์เวลทั้งห้าท่าน


"Iron Patriot" โดย Jorge Molina


ชุดเกราะ "Mark 42" โดย John Tyler


ชุดเกราะ "Mark 39: Starboost" โดย Mike Perkins


ชุดเกราะ "Mark 17: Heartbreaker" โดย Andrea Di Vito


ชุดเกราะ "Mark 38: Igor" โดย Ron Lim

คาดว่าคงจะได้เห็นชุดเกราะเหล่านี้ในหนัง อย่างน้อยๆก็เจ้า Mark 38 ชุดหนึ่งแล้วล่ะ ภาคนี้จะได้เห็นกองทัพเกราะเหล็กของโทนี่ สตาร์คเพื่อมาต่อกรกับวายร้ายอย่างแมนดาริน แต่ทางผู้สร้างเน้นว่าในภาคนี้จะเน้นไปที่การสำรวจตัวละครของโทนี่ สตาร์คแบบถึงแก่น จะได้เห็นเฮียเขาเข้าตาจนยิ่งกว่าภาคไหนๆก็คงคราวนี้แหละ แม้อาจจะไม่มีการปรากฏตัวของสมาชิกจากทีมดิอเวนเจอร์สอื่นๆเลย แต่คาดว่าอาจจะมีเซอร์ไพรส์ตอนจบตามสไตล์มาร์เวลก็เป็นได้

Source: Comingsoon, Marvel

By: EraOfGirls

Monday, April 8, 2013

ภาพนิ่งแรกจาก Captain America: The Winter Soldier




ทางสตูดิโอมาร์เวลที่ได้เริ่มเดินกล้องถ่ายทำเรื่อง  Captain America: The Winter Soldier ได้ปล่อยภาพนิ่งแรกอย่างเป้นทางการของคริส อีแวนส์ ผู้รับบทสตีฟ โรเจอร์สหรือกัปตันอเมริกาออกมาให้ดูแล้ว

ภาคนี้เป็นภาคต่อจากภาคแรกในปี 2011 นับเป็นหนึ่งในสามของภาพยนตร์ภาคต่อจากจักรวาลมาร์เวลที่จะเข้าฉายในปีนี้คือสองเรื่อง Iron Man 3 และ Thor: The Dark World

เนื้อเรื่องในภาคนี้จะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ใน The Avengers ซึ่งสตีฟ โรเจอร์สต้องต่อสู้กับการค้นหาบทบาทของตัวเองในโลกยุคใหม่นี้ และจะต้องจับมือกับนาตาชา โรมานอฟฟ์หรือแบล็ค วิโดว์เพื่อต่อกรกับศัตรูที่ทั้งทรงพลังและลึกลับในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของยุคปัจจุบัน

โดยนอกจากตัวคริส อีแวนส์เองแล้วยังเสริมทัพด้วยดาราอีกมากมาย เช่นสการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน แซมวล แอล.แจ็คสัน เซบาสเตียน สแตน โรเบิร์ต เรดฟอร์ด ฯลฯ

ซึ่งภาคนี้ได้สองพี่น้องผู้กำกับแอนโธนี่และโจ รุสโซ่มาขึ้นแท่น โดยได้คริสโตเฟอร์ มาร์คัสและสตีฟ แม็คฟีลี่จาก Captain America: The First Avenger มารับหน้าที่เขียนบทต่อ


และนี่คือข้อมูลเกี่ยวกับหนังที่มาร์เวลได้เผยออกมา

#ตัวละครแบล็ค วิโดว์ที่รับบทโดยสการ์เล็ต โจแฮนสันและนิค ฟิวี่ที่รับบโดย แซมมวล แอล. แจ็คสัน จะไม่ใช่แค่โผล่มาแบบดารารับเชิญ แต่จะเป็นตัวละครสมทบหลักในภาค Winter Soldier โดยตัวกัปตันเองจะต้องเข้ามาพัวพันกับผู้นำสูงสุดของหน่วย S.H.I.E.L.D. ซึ่งมายความว่าฟิวรี่จะมีบทบาทสำคัญในเรื่อง

  


#ศัตรูลึกลับของกัปตันในภาคนี้คือ Winter Soldier เป็นมือสังหารที่สร้างสรรค์ต้นฉบับโดยผู้เขียนการ์ตูนเอ็ด บรูเบเกอร์เมื่อปี 2005 ซึ่งเป็นหนึ่งในเนื้อเรื่องที่ถูกกล่าวขานถึงมากที่สุดในชีวิตของกัปตันอเมริกา ซึ่งจริงๆแล้วก้ไม่ได้ลึกลับมาก เพราะ [มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ โดยเฉพาะคนที่ยังไม่เคยดูภาคแรก] Winter Soldier คือผลงานการทดลองของพวกโซเวียตที่ใช้ร่างกายของคู่หู่คนสนิทของกัปตันอเมริกาอย่างบัคกี้(รับบทโดยเซบาสเตียน สแตน)จากภาคแรกมาปลุกชีพขึ้นใหม่ด้วยวิธีทางการแพทย์ ซึ่งในภาคแรกนั้นเราได้เห็ยว่าบัคกี้ร่วงหล่นไปจากรถไฟระหว่างปฏิบัติภารกิจ และครั้งนี้เขาจะกลับมา



#เควิน ฟีกจ์ ผู้เป็นโปรดิวเซอร์และประธานของมาร์เวลสตูดิโอได้อธิบายไว้ว่า The Winter Soldier คือ "ภาพยนตร์แนวระทึกขวัญทางการเมืองแบบยุค '70 ที่อยู่ในคราบของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์" เพราะฉะนั้นการที่ได้นักแสดงอย่างโรเบิร์ต เรดฟอร์ดมาร่วมสมทบจะมีความลงตัวเป็นอย่างยิ่ง โดยเขาจะรับบทเป็นอเล็กซานเดอร์ เพียร์ซ อดีตเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งถูกเรียกตัวกลับมาเพื่อช่วยงานหน่วย S.H.I.E.L.D.

#จะมีการเล่าย้อนอดีตด้วย: โดยเฮลีย์ แอทเวลล์ผู้เคยรับบทเพ็กกี้ คาร์เตอร์ คนรักของกัปตันอเมริกาในยุค '40 จากภาคแรกก็จะกลับมา แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นรูปแบบใด อาจเป็นภาพฉายย้อนอดีตเฉยๆก็เป็นได้ และยังรวมไปถึงโทบี้ โจนส์ ผู้รับบทเป็นโซล่า นักวิทยาศาสตร์ของกลุ่มไฮดร้าจากภาคแรกก็จะกลับมาเป็นเสี้ยวหนึ่งในความทรงจำจากอดีตของกัปตัน

 


#คนรักปัจจุบันของกัปตันคือ เอเจนท์ 13 รับบทโดยเอมิลี่ แวนแคมป์ ซึ่งตามเนื้อเรื่องในการ์ตูนนั้น เอเจนท์ 13 มีชื่อจริงคือชารอน คาร์เตอร์ ซึ่งจากนามสกุลนั้น แสดงว่ามีความข้องเกี่ยวกับคนรักในอดีตสมัยสงครามโลกครั้งสองของกัปตันอเมริกา คือเพ็กกี้ คาร์เตอร์ นางเอกจากภาคแรกนั่นเอง โดยในหนังสือนั้นชารอนเป็นลูกสาวหรือหลานสาวของเพ็กกี้ คาร์เตอร์ ในฉบับหนังน่าจะเป็นอีกช่วงอายุขัยหนึ่ง อาจจะเป็นรุ่นลูกของหลาน?

 


#และยังมีการเผยถึงตัวละครฝ่ายฮีโร่และตัวร้ายออกมากันมากมาย ได้แก่ แซม วิลสันหรือ ฟอลคอน (รับบทโดยแอนโธนี่ แม็คกี้จาก The Hurt Locker) เป็นผุ้ปราบอาชญากรที่มีพลังพิเศษทั้งบินได้และยังสื่อสารกับนกผ่านพลังจิตได้อีกด้วย , เจ้าหน้าที่มาเรีย ฮิลล์ (รับบทโดยโคบี้ สมัลเดอร์ส) ใน  The Avengers กลับมาเสริมทีมของฟิวรี่ และเจ้าหน้าที่แจสเปอร์ ซิทเวลล์ (รับบทโดยแมกซิมิลาโน่ เฮอร์นันเดซ) จะรับบทดิอเมริกันส์








ส่วนทางฟากของเหล่าร้ายนั้นได้แก่บร็อค ลัมโลว์ (รับบทโดยแฟรงค์ กิลโลจาก Zero Dark Thirty) หรือฉายาครอสส์โบนส์ มือปืนทหารรับจ้างผู้สวมหน้าการรูปหัวกระโหลก และจอร์จ บาธรอก หรือ บาธรอก เดอะ ลีปเปอร์ (รับบทโดยจอร์จ เซนต์ เพียร์จาก Death Warrior) นักเตะชาวฝรั่งเศสผู้มาพร้อมกับลูกเตะพิฆาต







Captain America: The Winter Soldier มีกำหนดเข้าฉายแบบระบบสามมิติในวันที่ 4 เมษายน 2013

Source: HeyUGuys; Kenji Lloyd , Entertainment Weekly; Anthony Breznican

By: EraOfGirls

Friday, April 5, 2013

Justin Lin ขอจอด: ถอนตัวจากเก้าอี้ผู้กำกับ Fast&Furious 7


โดยเมื่อวันพูธที่ผ่านมา ผู้กำกับ Justin Lin ได้แจ้งต่อเหล่าผู้บริหารของสตูดิโอ Universal ว่าจะไม่กลับมากำกับภาคที่เจ็ดของแฟรนไชส์ที่ทำรายได้มหาศาลชุดนี้แล้ว

ซึ่ง Justin Lin นั้น กำกับ Fast มาตั้งแต่ภาค Tokyo Drift ในปี 2006 แล้วก็ต่อด้วยอีกสามภาค และล่าสุดกับ
Fast & Furious 6 ที่จะเข้าฉายวันที่ 23 พฤษภาคมในบ้านเรา (เปิดตัวก่อนอเมริกาหนึ่งวัน)

ที่ Justin Lin ขอแตะเบรคจากการเป็นผู้กำกับก็ไม่ใช่เพราะมีปัญหาไปทะเลาะกับทางสคูดิโอหรือนักแสดง แต่เป็นเพราะคำว่า 'เวลา' แค่นั้นเอง

เพราะยังไม่ทันที่ภาคหกจะเข้าฉายเลย ทาง Universal ก็รีบเร่งอยากให้ Fast 7 เข้าฉายทันซัมเมอร์ในปี 2014 ทั้งที่น่าจะให้ช่วงหยุดพักเหมือนภาคก่อนๆคือราว 2-3 ปี ซึ่งก็แปลว่า Lin จะต้องเริ่มเดินกล้องทันทีหลังทำ Fast & Furious 6  เสร็จสมบูรณ์ 

ดังนั้น ทาง Universal จะต้องหาตัวผู้กำกับคนใหม่ที่จะสามารถผลักดันหนังให้เสร็จทันฉายซัมเมอร์ปีหน้าได้ ซึ่งคาดว่าจะมีการตัดสินใจอย่างเร็วภายในอาทิตย์หน้า

อย่างไรก็ตาม Justin Lin มีโปรเจคต์ต่างๆมากมายที่เขาอยากทำ การที่ Universal บีบเรื่องเวลานั้นทำให้เขากลัวว่าหนังมันจะไม่สามารถ 'ออกมาดีที่สุด'

เจอสตูดิโอใจติดเทอร์โบขนาดนี้ Justin Lin ยังต้องขอเบรก...

#เห็นข่าวนี้แล้วช็อค เพราะ Justin Lin ทำให้ The Fast เป็นมากกว่าแค่หนังแข่งรถธรรมดา สร้างตัวละครและเรื่องราวเท่ๆไว้มากมาย แต่ก็นะ ขอให้โชคดีกับการทำหนังแบบใหม่ๆ เราจะจำ The Fast ฉบับตำนานของ Justin Lin ไว้ตลอดไป



Source:The Hollywood Reporter; Borys Kit, Empire; James White, Cinemablend; Sean O'Connell

By: EraOfGirls

Thursday, April 4, 2013

Dynasty Warriors 8 พิชิตสหรัฐอเมริกา วางจำหน่าย 16 กรกฎาคมนี้

โดยจะปล่อยออกมาในแพลตฟอร์มของ PlayStation 3 และ Xbox 360



ในภาคล่าสุดนี้ก็ยังคงเป็นการสานต่อเรื่องราวของวุยก๊ก(ตระกูลโจโฉ) ง่อก๊ก (ตระกูลซุนกวน) และจ๊กก๊ก (ตระกูลเล่าปี่) รวมทั้งราชวงศ์จิ้น (ตระกูลสุมาเอี๋ยน หลังยุคสามก๊ก) ที่ต่งทำสงครามกันเพื่อยึดครองแผ่นดินจีน

โดยทางค่ายผู้ผลิต Tecmo Koei America กล่าวว่า Dynasty Warriors 8 จะยังคงรูปแบบและลูกเล่นดั้งเดิมจากภาคก่อนๆไว้อย่างเช่นฉากจบหลายแบบและโหมดพิเศษต่างๆ

"นอกเหนือไปจากโหมดเนื้อเรื่องที่มาพร้อมเรื่องราวและตัวละครใหม่ๆพร้อมกับเจาะลึกความดราม่าที่อยู่ในวรรณคดีสามก๊กมากขึ้นแล้ว Dynasty Warriors 8 จะมีเหตุการณ์แบบ 'มันจะเป็นยังไงถ้า...?'อยู่ด้วย นอกเหนือไปจากขอเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว โหมดนี้จะพาไปดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้างถ้าหากตัวละครนี้มีชีวิตอยู่รอดมาสู้ในวันต่อไป เนื้อเรื่องจะแตกขยายออกเป็นหลายผลลัพธ์และทิศทางการดำเนินเรื่อง รวมไปถึงฉากจบที่แตกต่าง และจะมอบอำนาจให้แก่ผู้เล่นได้ชมประวัติศาสตร์ที่กำหนดและเลือกขึ้นด้วยตนเอง"



และแน่นอนว่ามันจะมาพร้อมกับอาวุธและท่าการโจมตีแบบใหม่ๆที่มันส์สะใจมากขึ้นไปตามสไตล์ Dynsaty Warriors

นี่คือคลิปตัวอย่างเกม Dynasty Warriors 8 ฉบับประเทศญี่ปุ่นที่ออกมาวางจำหน่ายก่อนแล้วในชื่อว่า 真・三國無双7, Shin Sangokumusou 7 (เกิดจากความแตกต่างของระบบการวางจำหน่ายที่ญี่ปุ่นกับอเมริกา)



สำหรับเราแล้วนั้น Dynasty Warriors คือการตีความสามก๊กที่มันส์และสนุกสนานมากที่สุด ถึงแม้มันจะไม่ได้ตรงตามประวัติศาสตร์หรือตามเนื้อเรื่องในวรรณคดีเป๊ํะๆ (เพราะไม่งั้นคงน่าเบื่อแย่) แต่ก็ยังคงแก่นหลักของเรื่องราวที่ต้องการจะสื่อเอาไว้ นั่นก็คือการทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงอำนาจและการปกครองประเทศแบบสูงสุดเหนือกว่าก๊กเหล่าอื่นๆ และตามสไตล์ของเกมแนวแอ็คชั่นก็ไม่จำเป็นต้องมาเจาะลึกหรือวิเคราะห์กลยุทธ์ขั้นสูงที่เป็นจุดเด่นของเรื่องสามก๊กมากเท่าไหร่นัก เพราะ Dynasty Warriors ก็มีแนวทางในแบบของมัน ที่จะทำให้เนื้อเรื่องทั้งน่าสนใจและสนับสนุนการที่เราเล่นเป็นตัวละครไปพร้อมๆกันมากที่สุด



Dynasty Warriors คือศิลปะที่ผสมผสานเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นจีน บวกกับการออกแบบตัวละครและฉากแอคชั่นสไตล์ญี่ปุ่น ผสานกับเทคนิคพิเศษแนวแฟนตาซีสุดล้ำได้อย่างอลังการและลงตัวอย่างยิ่ง ฉีกกรอบและกฏเกณฑ์เดิมๆที่มีอยู่สู่อีกมิติหนึ่ง



ภาพยนตร์สามก๊กของจอห์น วู ตอนโจโฉแตกทัพเรือ นั่นนะสนุกที่สุดเท่าที่เคยดูมา ทั้งลึกล้ำ แต่ก็เข้าถึงได้ไม่ยากเลย เพราะหลังจากนั้นก็มีการสร้างเรื่องราวของกวนอูกับโจโฉเป็นภาพยนตร์เดี่ยวๆที่แน่นอนว่าไม่ได้สร้างมาเพื่อความยิ่งใหญ่อลังการในระดับเดียวกับโจโฉแตกทัพเรือ และบางทีที่วัยรุ่นส่วนใหญ่บอกลาสามก๊กก็เพราะความยาว(บวกความยืด)ของมัน

เพราะฉะนั้นถ้ามีการนำ Dynasty Warriors มาสร้างเป็นภาพยนตร์ มันจะน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว...เอาแค่ศึกผาแดงตอนเดียวก็กินขาดแล้ว

Source: Cinemablend; William Usher,Ryan Winslett

By: EraOfGirls


BlackBerry Z10: ผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะภายใต้ดีไซน์เรียบหรูและเฉียบคม

การแข่งขันด้านเทคโนโลยีมือถือสมาร์ทโฟนยังคงทวีความดุเดือดไม่เส้นแต่ละวัน นอกจากสองยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิ้ลและแอนดรอยด์ก็ยังมีวินโดวส์ของไมโครซอฟต์ที่โดดมาร่วมวง...

แต่แล้วก็มีม้ามืดที่ผงาดและเฉิดฉายขึ้น นั่นคือแบล็คเบอร์รี่ที่เคยสร้างกระแสมือถือแป้นกดที่ทำให้การแชทบีบีในสมัยนั้นฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง หันไปทางไหนก็พบแต่คนใช้บีบี ประดุจเป็นไอโฟนของยุคนี้เลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าพอวันเวลาเปลี่ยนไป อะไรๆมันก้เปลี่ยนแปลง เพราะบีบีถูกบดบังด้วยเงาของสองยักษ์ใหญ่จนสถานการณ์วิกฤติ

และล่าสุดก็ได้ส่งสมาร์ทโฟนนาม Z10 ที่พลิกโฉมทั้งรูปลักษณ์และการใช้งานของบีบีดั้งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง



ซึ่งก็ได้เปิดตัวครั้งแรกที่สหราชอาณาจักรไปเมื่อสิ้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา แล้วก็มีเครื่องหิ้วมาจำหน่ายที่ไทยได้เป็นระยะหนึ่งแล้ว ถ้าถามว่าทำไมเพิ่งมาตื่นเต้น? ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะมันกำลังจะเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการช่วงสิ้นเดือนเมษายนนี้ โดยผ่านทางผุ้ให้บริการหลักในบ้านเราทั้งสามเจ้าอย่าง AIS, Dtac และ TrueMove H ในราคา 20,900 บาท และจะมีการเปิดให้สัมผัสประสบการณ์ BlackBerryZ10 ก่อนวางจำหน่ายจริงที่ช็อป BlackBerry Experience Center ชั้น 2 สยามเซ็นเตอร์ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไปด้วย

อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ เพิ่งได้ลองเข้าไปชมเว็บสาธิตการใช้งาน ที่เผยให้เห็นความสามารถอันน่าทึ่งผ่านคลิปวิดีโอที่หลากหลาย ถ้าหากมันไม่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อจนเกินไป เจ้า BlackBerry Z10 จะเป็นสมาร์ทโฟนที่มีดีไซน์เรียบหรูพร้อมการใช้งานที่ลื่นไหลรวดเร็วประดุจ iPhone ผสมผสานกับฟังก์ชั่นการใช้งานบนหน้าจอที่ง่ายและสะดวกแบบ Android

ซึ่งลูกเล่นของมันก็มีหลากหลายมากอย่างที่รู้ๆกัน แต่ที่โดนใจคือระบบการใช้งาน BlackBerry Balance ที่ให้เราสามารถใช้ Z10 ให้เป็นได้ทั้งออฟฟิศเคลื่อนที่และเครื่องมือบันเทิงไปในเวลาเดียวกัน มันจะทำการแยกเก็บข้อมูลงานไว้ส่วนงาน และข้อมูลส่วนตัวของเราไว้อีกส่วน โดยสามารถสลับการทำงานแค่เพียงจิ้มไปเบาๆเท่านั้น และยังมีการให้ใส่รหัสเพื่อรักษาความปลอดภัยในส่วนของข้อมูลด้วย เสมือนว่าเรามีสองฐานข้อมูลอยู่ในโทรศัพท์เครื่องเดียว แต่ถูกเก็บแยกไว้แบบเป็นระเบียบ ไม่ต้องปนกันให้วุ่นวาย แถมยังมีความปลอดภัยด้วย

แม้ว่าสเปคของ BlackBerry Z10 จะไม่ได้มาแนวโหดสยบศัตรูหรือเลิศหรูอลังการไปมากมาย แต่มันก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงและคงเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับระบบปฏิบัติการใหม่ BlackBerry 10 ที่มีแนวทางเหมือนกับ Apple คือพัฒนาซอฟต์แวร์มาเพื่อใช้กับฮาร์ดแวร์ที่ตัวเองผลิต จะสามารถควบคุมคุณภาพและรีดประสิทธิภาพสูงสุดออกมาเฉิดฉายได้

แล้วก็อีกอย่างหนึ่งคือแอพพลิเคชั่นที่ไม่ต้องกลัวว่าจะน้อยจนขาดแคลน เพราะตอนนี้มีมากกว่า 100,000 แอพฯแล้วที่เปิดให้ดาวน์โหลดได้ใช้งาน แต่ว่าแอพฯที่ให้มาในตัวเครื่องก็มีความสามารถที่น่าทึ่งมากมายอยู่แล้ว

ทั้งยังมีระบบ Flow ที่สลับการใช้งานระหว่างแอพฯด้วยการปาดนิ้ว เป็น Multi tasking ที่ดูใหม่จริงๆ

แม้ว่านี่จะไม่ใช่สมาร์ทโฟนระบบจอสัมผัสรุ่นแรกของ BlackBerry...

แม้ว่านี่อาจจะไม่ใช่โทรศัพท์ที่ออกมาปฏิวัติวงการ...

แต่มันกลับมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด ชวนให้อยากลองสัมผัสและใช้งานเป็นยิ่งนัก

มันมีบางสิ่งที่ไม่มีใน iPhone , Android หรือ Windows phone...เพราะนี่คือเสน่ห์เฉพาะตัวของ BlackBerry

และเชื่อว่ามันจะต้องมีความแปลกใหม่ แตกต่างไปจากผลิตภัณฑ์ของสองสามค่ายยักษ์ใหญ่ที่แข่งกันชนิดดุเดือดไม่ยอมใคร

กับสโลแกนใหม่ของ BlackBerry 10 ที่ว่า "Keep moving - จงก้าวต่อไป"

Source:  ไทยรัฐ, TechXcite, BlackBerry

By: EraOfGirls





Wednesday, April 3, 2013

เผยภาพคอนเซปต์อาร์ตของ Captain America: The Winter Soldier [สปอยล์คนยังไม่เคยดูภาคแรก]


ก่อนที่จะมีการปล่อยภาพนิ่งและตัวอย่างแบบเป็นทางการออกมา คอนเซปต์นี้เปิดเผยให้เห็นถึง (คาดว่าจะเป็น) การปะทะกันระหว่างกัปตันอเมริกาและเพื่อนสนิทผู้ฟื้นจากความตายในภาคแรกอย่าง บัคกี้ บาร์นส์ที่กลับมาเป็นตัวร้ายในชื่อรหัส Winter Soldier ซึ่งนี่จะเป็นการต่อสู้ไปถึงความรู้สึกของหัวใจกัปตันสตีฟ โรเจอร์สอยู่พอสมควร เพราะดูเหมือนว่าคนที่เขารู้จักจากยุคของเขาได้ตายจากกันไปหมดแล้ว แต่เพื่อนสนิทที่เขาเห็นต่อหน้าต่อตาว่าตายกลับฟื้นขึ้นมาและกลายเป็นศัตรูไป

ซึ่งอันที่จริงแล้วเคยมีการใช้โปสเตอร์นี้โปรโมทหนัง พอมาดูๆอีกครั้งก็ต้องบอกกับตัวเองว่าเฮ้ย อันนี้มันธีมของภาคสองชัดๆเลย นี่มันเป้นเรื่องบังเอิญหรือจงใจจะบอกใบ้ของทางผู้สร้างก็ไม่ทราบได้ ลองจินตนาการเอาคำว่า The Winter Soldier ใส่แทนที่คำว่า The First Avengers เข้าไปดูสิ มันจะเข้ากันได้อย่างไม่ติดขัดเลยล่ะ





Source: Empire; James White

By: EraOfGirls