Wednesday, December 25, 2013

EraOfGirls' Top 9 Films of the year 2013

9 อันดับภาพยนตร์ที่ชอบมากที่สุดในปี  2013  



1. Star Trek Into Darkness [สตาร์ เทรค ทะยานสู่ห้วงมืด / เจ.เจ. เอแบรมส์] 



เป็นภาคต่อของหนังในดวงใจเมื่อปี 2009 ที่ทำให้เรารู้สึกฟินตั้งแต่ช่วงไตเติลเปิดเรื่อง  
มันมาพร้อมกับฉากหน้าจดจำหลายฉาก  ที่ไม่ใช่มีแค่เทคนิคพิเศษอันน่าทึ่ง  แต่ยังรวมไปถึงการเล่นกับอารมณ์คนดู  โดยเฉพาะกับผู้ที่ชื่นชอบสตาร์  เทรคเป็นพิเศษ ที่อาจกรี๊ดได้ในหลายฉาก หนังมีความซีเรียส  แต่ก็ยังคงกลิ่นอายความเป็นไซไฟอวกาศแสนสนุกตามแบบฉบับเจ.เจ. เอแบรมส์  ที่มีทั้งมุมกล้องแปลกตา  ฉากแอคชั่นที่สร้างสรรค์ต่อยอด นำฉากจากภาค The Wrath of Khan มาทำใหม่ที่ทำให้เราขนลุกเกรียว เป็นหนังที่แม้ดูซ้ำ ๆ ก็ยังมีความรู้สึกเหมือนดูครั้งแรก  และทำให้น้ำตาซึมหลายครั้ง  ฉากที่ทรงพลังที่สุดคือ  การไล่ล่าในวาร์ป  สปีด  /  ฉากการพุ่งตัวในอวกาศจากยานเอนเตอร์ไพรส์ / ฉากที่ห้องปฏิกรณ์  หนังยังนำคำพูดสุดคลาสสิค "ศัตรูของศัตรู" มาตีแผ่ได้อย่างน่าสนใจ  และทำให้เรายิ่งรักกัปตันเคิร์กกับลูกทีมแห่งยานเอนเตอร์ไพรส์มากขึ้นจนถึงขั้นผูกพัน  แถมยังแอบให้ความรู้สึก "มันดูมีอะไร" ระหว่างเคิร์กกับสป็อคด้วย


2. Pacific Rim [แปซิฟิค ริม สงครามอสูรเหล็ก / กิลเลอโม เดล โทโร]


เป็นความ "สุดฟิน" ที่ได้มาจากการดูหนังในปีนี้ มันปลุกความเป็นเด็กที่ชอบเล่นหุ่นยนต์กลับมาอีกครั้งในระดับอลังการ แทบเรียกได้ว่าดูเสร็จก็เก็บมาฝันว่าขับเยเกอร์ออกไปซัดกับไคจูอยู่เลยทีเดียว หนังมีกลิ่นอายความเป็นอนิเมะหุ่นยนต์แบบญี่ปุ่นมาบวกกับสัตว์ประหลาดคลาสสิคของที่นั่น กลายเป็นจักรวาลใหม่ในโลกอนาคตที่จริง ๆ แล้วมันหม่นหมอง แต่สีสันฉูดฉาดในงานภาพที่ปรากฏในหนังทำให้เรารู้สึกว่ามันช่างตัดกันได้ดีเยี่ยม เต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก ชอบมันตั้งแต่แนวคิดที่กิลเลอโมบอกว่า "นี่ไม่ใช่หนังที่ประเทศเดียวเป็นฮีโร่กู้โลก แต่เป็นการที่ทั้งโลกร่วมกันพิทักษ์โลกเอาไว้" และยังแฝงเรื่องของความสามัคคีผ่านเงื่อนไขนักขับเยเกอร์ที่ต้องมีสองคน(ขึ้นไป)เพื่อช่วยกันพาเจ้ายักษ์เหล็กที่ฝ่ายมนุษย์สร้างขึ้นออกไปปราบยักษ์ประหลาดที่มาจากอีกพิภพหนึ่ง ดูแล้วให้ความรู้สึกว่ามันช่าง "โรแมนติก" เหลือเกินในแง่ของผลงานจากผู้กำกับที่หลงใหลโลกหุ่นยนต์ของญี่ปุ่นและชอบจินตนาการเรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก ๆ จนกระทั่งมันขึ้นมาโลดแล่นสู่จอภาพยนตร์ ดูแล้วรู้สึกฟินและฟินเพราะจับเอาส่วนประกอบของหนังหลายเรื่องที่เราชอบมาผสมกันได้กลมกล่อมที่สุด


3. Gravity [กราวิตี้ มฤตยูแรงโน้มถ่วง / อัลฟองโซ่ คัวร็อง]



ครั้งแรกที่เห็นรู้สึกว่าพล็อตเรื่องมันช่าง minimal เสียจริง ๆ กับการพยายามเอาตัวรอดในอวกาศของคนสองสามคน ซึ่งเนื้อเรื่องมันก็เหมือนจะมีอยู่แค่นั้นแต่กลับปรากฏออกมาในสเกลที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก เป็นหนังที่มีการสร้างเทคนิคพิเศษโดดเด่นเป็นนวัตกรรม ทำให้เรารู้สึกหลุดคว้างหลงอยู่ในอวกาศไปพร้อม ๆ กับตัวละคร มันสามารถสร้างบรรยากาศที่ทั้งสวยงามและน่าสะพรึงกลัวของอวกาศที่ทั้งหนาวเหน็บและดำมืดไปพร้อม ๆ กัน การเดินเรื่องอาจออกมาแนวตามสูตร แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนใครแน่ ๆ คือเรื่องนี้เป็นหนังอวกาศที่ใช้ลองเทคยาวถึงสิบกว่านาทีในการเปิดเรื่องที่ต้องขอคารวะ บวกกับการสร้างสภาวะสมจริงของ "ไม่มีเสียงในอวกาศ" อย่างที่หนังเรื่องอื่นใส่เอฟเฟกต์ระเบิดตู้มต้ามดังกระหึ่มทั้งที่เสียงเดินทางในสุญญากาศไม่ได้ แถมด้วยดนตรีประกอบที่เข้ามาเร้าหัวใจจนเราขนลุก และจริง ๆ แล้วทั้งเรื่องก็สอดแทรกปรัชญาการใช้ชีวิตและเอาตัวรอด ที่มาในเชิงสัญลักษณ์ของภาพและสถานการณ์ที่เข้ามาทดสอบดร. ไรอัน สโตน (แซนดร้า บูลล็อค) ว่าจะเลือกยอมจำนนกับความโหดร้ายเย็นชาของอวกาศหรือทนสู้ฝ่าฟันต่อไปเพื่อกลับสู่โลกที่อบอุ่นและสว่างสดใส


4. Fast And Furious 6 [ เร็วแรงทะลุนรก 6 / จัสติน ลิน]



คำโปรยของเรื่องนี้ที่บอกไว้ว่า "All roads lead to this" คือคำอธิบายหนังเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ยิ่งเรื่องเดินไปเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้เราแทบร้องเฮ้ยออกมากับความฉลาดกึ่ง ๆ ไปทางบ้าของผู้กำกับที่แอบวางหมากไว้ตั้งแต่ภาค Tokyo Drift ซึ่งเป็นผลงานแรกในแฟรนไชส์นี้ของจัสติน ลิน แล้วมาคลายปมทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกันทีเดียวในภาคนี้ น่าจะเรียกได้ว่าเป็นไคลแมกซ์ของไคลแมกซ์ที่จะทำให้ซีรี่ย์ Fast and Furious เป็นอมตะตลอดไป Furious 6 สลัดภาพลักษณ์ของหนังรถซิ่งบนท้องถนนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์นี้ออกไปหมด กลายเป็นหนังแอคชั่นไล่ล่าที่ใช้รถเต็มรูปแบบ แต่ก็ยังมีฉากแข่งซิ่งที่ทำให้เราหวนรำลึกไปถึงภาคแรก ๆ มันมีมุกตลกที่แทรกเข้ามาทำให้เราขำได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะความฮาหน้าตายของโรมัน เพียร์ซ (ไทรีส กิ๊บสัน) ที่ไม่เคยหายไปตั้งแต่ภาคสอง และจากการที่เรารู้สึกผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวดอม โทเร็ตโต้ไปแล้วก็เลยมีฉากที่สะเทือนใจอยู่พอสมควร ทุก ๆ การเฉลยคลายปมเหมือนโดนตบหน้าและทำให้เราอุทานว่าเหยดออกมาหลายครั้ง คำถามคาใจที่มีมาตลอดตั้งแต่ภาค 4-6 ก็เฉลยออกมาอย่างหมดเปลือกได้อย่างน่าขนลุกและทำให้เราแทบกรี๊ดสนั่นโรงกับฉากท้ายเครดิต

ปล. เมื่อพูดถึง The Fast ก็ยังช็อคไม่หายกับการจากไปของพอล วอล์คเกอร์ ที่เป็นคู่พระเอกกับวิน ดีเซลมาตั้งแต่ภาคแรกของแฟรนไชส์นี้ ก็ขอให้พักผ่อนอย่างสุขสบาย เราจะจดจำความประทับใจที่พอลได้มอบให้เราผ่านภาพยนตร์ตลอดไป

5. MARY IS HAPPY, MARY IS HAPPY [นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์]


หนังแนวก้าวผ่านวัยที่บ้าทะลุเพดาน "โคตรกระชาก" เหมือนที่ @marylony กล่าวไว้ ทำให้เราร้องเฮ้ยและอุทานว่า "เอาอย่างนี้เลยหรือ" อยู่หลายฉาก มันทั้งวายป่วง เวิ่นเว้อ เซอร์ไพรส์ เหมือนไทม์ไลน์ทวิตเตอร์ที่บางครั้งก็ไหลเร็วอย่างสนุกวุ่นวาย แต่ก็มีช่วงเงียบและแน่นิ่งมาก ๆ รวมทั้งบางทีที่ "อะไรของมันฟะ?" อยู่ด้วย  แม้ส่วนตัวอาจจะไม่เข้าใจความหมายได้ครบถ้วนตามที่ผู้กำกับต้องการสื่อ แต่แค่ทวิต "อยากขโมยเค้ก" ก็ขำค้างดังลั่นอยู่เป็นนาทีแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นมาก่อน

6. Elysium [เอลลิเซี่ยม / นีล บลอมแคมป์]
หนังเสียดสีสังคมแบ่งชนชั้นในคราบของไซไฟ-แอคชั่นที่ให้อารมณ์ดิบเถื่อนตัดกับความสวยงามราวสรวงสวรรค์บนสถานีอวกาศเอลลิเซี่ยมได้เป็นอย่างดี เป็นการนำโลกดิสโธเปียมาปะทะกับยูโธเปียแบบจะ ๆ แม้ว่าหนังจะดูเหมือนเน้นไปที่งานสร้างมากกว่าแก่นที่ต้องการสื่อ แต่พอคิด ๆ ไปมันก็สะท้อนสังคมปัจจุบันเหมือนที่นีลเคยทำไว้ใน District 9 อยู่ไม่น้อย คนชนชั้นล่างที่ต้องอยู่อย่างแออัดแร้นแค้นในสลัมที่ถูกพวกเศรษฐีในเมืองใหญ่กดขี่ให้ทำงานหนักเพื่อค่าแรงที่แทบไม่พอยาไส้ ถูกปฏิบัติไม่ต่างกับเครื่องจักรที่ถ้าพังก็แค่โละทิ้งอย่างไม่ใยดีที่อะไร ๆ ก็ดูขาดแคลนไปเสียหมด ในขณะที่บนสวรรค์ลอยฟ้ามีทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งบางทีก็มากเกินไปสำหรับคนบางคนจนทำให้ไม่รู้จักพอเหมือนรัฐมนตรีเดลาคอร์ท (โจดี้ ฟอสเตอร์) ที่เหมือนเป็นคนชั้นสูง แต่แท้จริงแล้วก็มีสัญชาติญาณดิบของความโลภที่ไม่ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป มันนำไปสู่การลุกฮือเตรียมก่อปฏิวัติของชนชั้นล่างที่ไม่รู้ตัวว่าจะต้องมาเจอแผนปฏิวัติรัฐประหารอีกทอดหนึ่ง ตัวละครของแมกซ์ ดา คอสต้า (แมตต์ เดม่อน) ที่ดูอึมครึมว่าเขาทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อเพื่อนมนุษย์บนโลก การปะทะกันของแมกซ์กับครูเกอร์ (ชาร์ลโต คอปลีย์) ทำให้นึกถึงการต่อสู้ของเครื่องจักรฝ่ายดี-ร้ายใน The Terminator ที่มีขีดพลังเกินมนุษย์และอาวุธล้ำยุคมาฟาดฟันกัน  และการแสดงของคอปลีย์ในเรื่องนี้ต้องเรียกได้ว่าปล่อยของและลูกบ้าออกมาจนน่าขนลุกสุด ๆ เลย มันเป็นหนังที่รู้สึกว่าฉากจบสะเทือนใจจนน้ำตาซึมและทรงพลังเอามาก ๆ  



7. The Internship [คู่ป่วนอินเทิร์นดูโอ้ / ชอว์น เลวี่] + Jobs [สตีฟ จ็อบส์ อัจฉริยะเปลี่ยนโลก / โจชัว ไมเคิล สเติร์น]





The Internshipเป็นเรื่องของเซลส์แมนเพื่อนซี้วัยทำงานที่ต้องถูกลอยแพเมื่อบริษัทที่ทำงานอยู่ปิดตัวลง เลยต้องหางานทำใหม่ ขณะที่บิลลี่ (วินซ์ วอห์น) เสิร์ชหาตำแหน่งงานว่างอย่างเคว้งคว้าง แต่แล้วชื่อของไอ้เว็บที่ใช้เสิร์ชอยู่เนี่ยมันก็ช่างโดดเด่นเสียจริง ๆ ก็เลยตัดสินใจไปฝึกงานกับ Google มันเสียเลย! เผื่อว่าจะส้มหล่นได้ทำงานกับบริษัทดิจิตอลยักษ์ใหญ่ระดับโลก จริง ๆ ไม่ได้ชอบดูหนังตลกของฝรั่งเท่าไหร่ แต่เพราะมันเกี่ยวกับ Google เลยสนใจอย่างยิ่ง รู้สึกเลยว่าหนังมัน Fresh มาก และถ่ายทอดบรรยากาศของออฟฟิศบริษัทที่ใคร ๆ ใฝ่ฝันออกมาได้อย่างยั่วยวนใจ สองพระเอกเป็นคนวัยผู้ใหญ่ที่โตมากับโลกอะนาล็อก แต่ดันทะลึ่งไปสมัครงานกับบริษัทจ้าวเทคโนโลยี เพราะเชื่อมั่นในทักษะการชักจูงใจและแถเก่งไม่เป็นรองใครตามแบบฉบับพนักงานขายของตัวเอง ซึ่งอีโก้ความเป็นผู้ใหญ่ที่คิดว่าตัวเองผ่านโลกมาเยอะ รู้ดีกว่าวัยรุ่นสมัยนี้ค่อย ๆ ถูกสั่นคลอนและตอกย้ำว่าความเชื่อเช่นนั้นมันหัวโบราณและไม่เป็นที่ต้องการของสังคมการทำงานยุคไซเบอร์ การฝึกงานที่ Google มีการจับกลุ่มแบ่งทีมให้แข่งขันทำโจทย์ที่ได้รับมอบหมาย และทีมไหนที่มีคะแนนมากที่สุดในตอนท้่ายก็คือผู้ชนะและจะได้ทำงานเต็มเวลากับ Google เงื่อนไขแบบนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนไปตอนสมัยเรียนซัมเมอร์อีกครั้ง บิลลี่กับนิค(โอเว่น วิลสัน) ต้องมาลงเอยกับกลุ่มที่เป็นเหมือนเศษเหลือเพราะไม่มีใครอยากจับร่วมทีมด้วย กลายเป็นเหมือนการรวมตัวของพวกขี้แพ้แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นม้ามืดที่มาแรงแซงโค้ง เพราะความคิดที่ประหลาดแปลกแยกแบบที่ทีมระดับเทพไม่มี และนั่นคือสิ่งที่ Google ต้องการในพนักงานของพวกเขา เอาเข้าจริง ๆ หนังมันไม่ค่อยตลกแต่ดูสนุกมากและมีการสื่อข้อความมายังสังคมก้มหน้าในปัจจุบันว่า โลกของเรายังมีอะไรเจ๋ง ๆ อีกเยอะ แค่เงยหน้าขึ้นมาอีกนิดหน่อยให้พ้นจากจอสี่เหลี่ยมก็จะพบเจอเอง แม้ตั้งแต่ต้นจนถึงบทสรุปจะไม่ค่อยมีอะไรเกินความคาดเดา แต่็ก็ชอบเหลือเกินในบรรยากาศที่ดูสดใหม่ และทำให้เรามองผลิตภัณฑ์ของ Google ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปจากเดิม สดชื่น เติมพลัง และฟีลกู๊ด

ส่วน Jobs ให้ความรู้สึกคล้ายกับ วัยรุ่นพันล้านภาค Apple การเริ่มจากศูนย์ของวัยรุ่นหัวขบถที่มีความมุ่งมั่นรุนแรงและสู้ไม่ถอยเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในวงการเทคโนโลยีและจะเปลี่ยนโฉมโลกใบนี้ด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มันคือความท้าทายของคนตัวเล็กที่เชื่อว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ด้วยแนวความคิดอันสุดโต่งนี้ทำให้จ็อบส์พาทั้งตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนมานักต่อนักเพราะเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ไม่ฟังเสียงคนรอบข้างแม้กระทั่งเพื่อนสนิทที่สุดของตน แต่ท้ายที่สุดมันก็พิสูจน์ให้โลกเห็นจริง ๆ แล้วว่า "คนที่บ้าพอที่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนโลกได้ คือคนที่ทำได้สำเร็จ" เราร้องว้าวในหลาย ๆ ฉากเพราะมีความสนใจด้านไอทีและเคยอ่านเรื่องราวของสตีฟ จ็อบส์มาบ้างแล้ว รู้สึกว่าหนังทำได้ดีทีเดียวแต่มันดันอารมณ์ออกมาไม่สุดเท่าไหร่ในหลาย ๆ ฉากที่ควรจะทำ บวกกับการเล่าชีวิตของจ็อบส์ที่มาจบแค่ช่วงเปิดตัว iPod รุ่นแรก ไม่มีพูดถึงการไปมีส่วนสำคัญของพิกซาร์ บริษัทอนิเมชั่นที่ตอนนี้โด่งดังระดับโลกส่วนหนึ่งเป็นเพราะจ็อบส์ และไม่มีการต่อสู้กับโรคร้ายที่จ็อส์เจอซึ่งถ้าใส่เข้ามาอาจจะทำให้คนอินกับหนังได้มากขึ้น แถมยังลำดับเรื่องแบบที่ถ้าคนไม่มีพื้นฐานเรื่อง Apple ก็จะมึนงงได้ แต่มันก็ให้แรงบันดาลใจอยู่ไม่น้อย  แม้จะถูกทำไปเปรียบเทียบกับหนังกำเนิด Facebook อย่าง The Social Network ว่าสู้ไม่ได้เลย แต่ส่วนตัวกลับรู้สึกว่า Jobs นั้นดูง่ายกว่า สนุกกว่า และทำให้เราสนใจ Apple ได้มากกว่า    

8. Ender's Game [เอนเดอร์เกม สงครามพลิกจักรวาล / เกวิน ฮู้ด] + The Hunger Games : Catching Fire [เกมล่าเกม 2 : แคชชิ่ง ไฟเออร์ / ฟรานซิส ลอว์เรนซ์]



หนังทั้งสองเรื่องว่าด้วยเด็กที่ต้องมาเป็นตัวเล่นในเกมของผู้ใหญ่ในสภาพที่ไม่จำยอมเท่าไหร่นัก Ender's Game เป็นหนังที่เนื้อหาจริงจังแม้จะมีเด็กวัยสิบกว่าขวบอยู่เต็มเรื่อง มีบทและฉากงานสร้างที่ดูล้ำยุคน่าตื่นตาตื่นใจ และแทบลุกขึ้นไปปรบมือเชียร์ตอนที่ไอ้หนูวิกกิ้น (เอซ่า บัตเตอร์ฟีลด์) บัญชาการรบในอวกาศด้วยความชาญฉลาดและว่องไวเป็นหนักหนา แต่ความอัจฉริยะของเด็กบางทีก็ไม่ทันเกมเล่ห์เหลี่ยมของผู้ใหญ่ที่สมคบคิดกัน แม้จะดูมีเหตุผลอันสมควรก็ตาม

ในขณะที่คนส่วนใหญ่บอกว่า Catching Fire เน้นหนักไปในเนื้อหาการลุกขึ้นสู้ของสังคมที่โดนกดขี่ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่ามันสะท้อนพวกรายการแนวเรียลลิตี้โชว์ตามช่องทีวี จากผู้หญิงบ้านนอกที่ไม่มีใครรู้จักเมื่อกลายเป็นแชมป์ก็จะไม่มีชีวิตที่สงบเหมือนเดิมได้อีกต่อไป ต้องพูดตามสคริปต์ เล่นบทโรแมนติกตามที่โดนบังคับ และฝืนยิ้มตามคำสั่งทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้อย่างเจ็บปวด หนังมาพร้อมกับฉากที่ทรงพลังและสะเทือนใจติดตา เกมล่าชีวิตครั้งที่ 75 มาพร้อมองค์ประกอบที่ใหญ่ขึ้น แต่ถ้าเทียบกันแล้วภาคแรกกลับให้อารมณ์ดิบได้มากกว่า แต่ในภาค Catching Fire ก็สามารถทำออกมาได้สนุกชวนลุ้น และฉากยิงธนูขึ้นฟ้านี่ต้องขอบอกว่าขนลุกเกรียวจริง ๆ 

9. Cold Eyes [감시자들 / โชอึยซอก]


หนังเกาหลีเกี่ยวกับหน่วยสอดแนมพิเศษของกรมตำรวจที่เชี่ยวชาญด้านการสะกดรอยในภารกิจไล่ล่าอาชญากรตัวอันตรายที่รู้เท่าทันตำรวจทุกฝีก้าวและเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง ฮายุนจู (ฮันฮโยจู) เข้ามาเป็นตำรวจหญิงหน้าใหม่ในหน่วยสอดแนมนี้่และถูกตั้งชื่อรหัสให้ว่า "หมูน้อย" เป็นผลงานรีเมคจากหนังฮ่องกงปี 2007 ชื่อ Eye In The Sky (พลิกเกมทรชน คนเหนือเมฆ)

ที่หลงรักหนังเรื่องนี้มากที่สุดก็คือแคแรกเตอร์ของฮายุนจูนี่เอง ตอนต้นเราจะเห็นว่าเธอมีพรสวรรค์ด้านสายตาที่ว่องไวมากกว่ามนุษย์ธรรมดา แต่ไป ๆ มา ๆ ก็รู้สึกว่าเธอมีจุดอ่อนที่ทำให้พลังพิเศษนั้นดูไม่มั่นคงเอาเสียเลย ทำให้เป็นนางเอกที่ดูน่าปกป้อง เต็มไปด้วยบุคลิกย้อนแย้งในตัวเอง ทั้งเข้มแข็ง/อ่อนไหวไปในเวลาเดียวกัน และถ้ามองจากสายตาส่วนตัวแล้ว พระเอกของเรื่องนี้ก็คือตัวฮายุนจูเองนี่แหละ ด้วยความห้าวและบุคลิกที่ทำให้นึกถึงแอลในเรื่องเดธโน๊ต กลายเป็นตัวละครที่หลงรักจนตั้งตัวไม่ทัน ทั้งโคตรเท่และน่ารักมาก และทำให้ฮันฮโยจูคว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมของ Blue Dragon Film Awards ครั้งที่ 34 จากบทนี้ไปในที่สุด

ในส่วนของการเดินเรื่องก็ทำออกมาได้กดดัน ลุ้นระทึก และค่อนข้างโหดดิบตามแบบฉบับหนังเกาหลี มีการเลือกใช้มุมกล้องหลากหลายที่ช่วยเพิ่มความน่าตื่นเต้น ปฏิบัติการแต่ละครั้งของหน่วยสอดแนมต้องอาศํยไม่ใช่เพียงแค่ทักษะการสังเกตสะกดรอยที่ว่องไว แต่ต้องมีความเป็น "ทีมเวิร์ค" ที่ยอดเยี่ยมในการไล่ล่าเป้าหมายและปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ที่ทำให้นึกถึงหนังแนว Now You See Me / Mission Impossible 



ของแถม:

ซีรี่ย์แห่งปี 2013 : Hanzawa Naoki [半沢直樹]



เป็นละครญี่ปุ่นที่เฉือนคมกันแบบดุเด็ดเผ็ดมันอย่างร้ายกาจ ตอนแรกที่ดูเห็นว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับธนาคาร ก็คิดว่ากลัวจะดูไม่รู้เรื่อง แต่ละครกลับทำให้มันดูง่ายและสนุกจนจุกเลยทีเดียว ฮันซาว่า นาโอกิ (มาซาโตะ ซากาอิ) พี่แกเล่นได้บ้ากระจุยกระจายมาก เป็นนายธนาคารผู้ไม่มีวันยอมก้มหัวให้ใคร กล้าท้าชนไม่ว่าจะใหญ่หรือมีอำนาจแค่ไหน สู้ไม่ถอยด้วยความฉลาดและไหวพริบเป็นเลิศ แถมยังมีทักษะการฟันดาบที่ทำให้เรานึกถึงเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ตลอด 10 ตอนอัดแน่นด้วยฉากกดดันลุ้นระทึก ตื่นเต้นจิกเบาะตัวเกร็ง โอ้ยมันสุดยอดมาก เป็นตัวอย่างของการเขียนบทที่แน่นและอัจฉริยะ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคนิคอลังการงานสร้างอะไรเลยก็สามารถทำให้น่าติดตามกันมากขนาดนี้ และยังมีการเล่นมุมกล้องที่กดดันคล้ายบางช่วงตอนของหนังสยองขวัญญี่ปุ่นเลยทีเดียว

จุดที่น่ารักของละครเรื่องนี้ คือมันเหมือนกับพระเอกออกไปลุยสงครามชีวิตที่โหดร้ายทุกวันด้วยความห้าวหาญและกัดศัตรูไม่ปล่อย แต่พออยู่ที่บ้าน ต่อพออยู่ที่บ้านต่อหน้าภริยา แกจะเป็นคนที่อบอุ่นขี้เล่น ไม่เอาเรื่องโมโหร้ายมาโยนใส่เลย นอกจากนี้ในหนังก็ยังมีมิตรสหายยามยากของฮันซาว่า ที่ทำให้เรารู้สึกซาบซึ้งได้ทุกครั้ง เพราะเป็นเพื่อนที่เรียกว่า ถึงไหนถึงกัน!


เพลงแห่งปี 2013 : Flyers (โดย Girls' Generation) 



โอ้วเพลงมันเพราะมาก ชอบจังหวะ ทำนอง แสนสนุกเหมือนเพลงประกอบอนิเมชั่นญี่ปุ่นสุด ๆ ฟินเว่อร์ ๆ

กางแขนสองข้างออกมาให้เหมือนดั่งปีก แล้วพุ่งทะยานไปอย่าได้ลังเล~
ลุกขึ้นมา! ลุกขึ้นมา! ลุกขึ้นมา! บินไปให้สูงสุดฟ้า!


แอพพลิเคชั่นแห่งปี 2013 : Tweetcaster for Twitter



เป็นแอพฯเล่นทวิตเตอร์วายร้ายแสนรักที่ขาดเธอไปไม่ได้ วันนึงอยู่กับแอพฯนี้นับสิบชั่วโมง เรียกได้ว่าเสพย์ติด มีบางครั้งที่มันทั้งล่ม ค้าง ปัญหาบั๊กดูจะมีอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็เป็นแอพพลิเคชั่นเล่นทวิตเตอร์บนแอนดรอยด์ที่ฟังก์ชั่นครบที่สุด จัดวาง UI ได้สะดวกที่สุด (แม้หน้าตาไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่) เป็นแอพฯที่ผูกติดกับชีวิตมาก ๆ จนตอนนี้ยังหาแอพฯไหนมาแทนการใช้งานไม่ได้ครบ 100%

ประโยคเด็ดแห่งปี 2013 : "ดิฉันก็ถอยจนไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้วค่ะ"

โอ้วมันเป็นปรากฏการณ์จริง ๆ เลยประโยคนี้








Tuesday, June 11, 2013

คลิปเบื้องหลังของ Need for Speed ฉบับหนังออกมาซิ่งแล้ว พร้อมเนื้อเรื่องย่อ


คืบหน้าล่าสุดกับภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากแฟรนไชส์เกมแข่งรถยอดฮิตตลอดกาลอย่าง Need for Speed ทางสตูดิโอบ้านของเกม อีเล็คทรอนิกส์ อาร์ต (EA) ได้จัดงาน E3 เอ็กซ์โปในลอส แองเจลิส พร้อมเผยโฉมผลงานเกมใหม่ๆที่ยั่วน้ำลายคอเกมทั่วโลก แถมยังปล่อยคลิปตัวอย่างแรกที่มาพร้อมเบื้องหลังการถ่ายทำของ Need for Speed มากระตุ้นต่อมความอยากกันอีกต่างหาก

โทบี้ มาร์แชล(รับบทโดยแอรอน พอล)ช่างเครื่องยนต์รถแบบมัสเซิลและนักซิ่งแห่งท้องถนน ถูกใส่ร้ายในอาชญากรรมที่เขาไม่ได้ก่อขึ้น เมื่อเขาออกจากคุกมาแล้ว โทบี้ก็พร้อมที่จะมุ่งชำระแค้นกับคนที่ทำให้เขาต้องโทษ เขาได้ซิ่งระห่ำไปบนท้องถนนทั่วประเทศ จากการแก้แค้นในตอนแรกได้กลายเป็นการกู้ศักดิ์ศรีของเขาคืนกลับมา 



"Need for Speed" ของค่ายดรีมเวิร์คสพิคเจอร์สกำกับโดยสก็อตต์ วอกห์ (จากAct of Valor หน่วยพิฆาตระห่ำกู้โลก ) ร่วมแสดงโดย โดมินิค คูเปอร์ (จาก Captain America), รามอน โรดิเกวซ, รามิ มาเลค, อิโมเกน พูทส์(จาก Fright Night), ดาโกต้า จอห์นสัน,ก็อตต์ เมสคิวดิและไมเคิล คีตัน(Batman ต้นฉบับ) ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำ กำหนดฉายที่อเมริกา 14 มีนาคม 2014 

และบทความนี้จาก Comingsoon ก็เผยด้วยว่าฟอร์ด-ค่ายผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จะเป็นสปอนเซอร์หลักให้กับหนังเรื่องนี้ โดยมีฟอร์ด มัสแตง รุ่นออกแบบและปรับแต่งพิเศษคันที่เห็นในคลิปเป็นรถพระเอกนั่นเอง  



นับว่าเป็นหนังรถแข่งบนท้องถนนอีกเรื่องต้องจับตามอง เพราะสร้างมาจากแฟรนไชส์เกมรถแข่งที่เป็นตำนานและรู้จักไปทั้งโลก อาจหนีไม่พ้นการถูกนำไปพูดเปรียบเทียบกับ Fast and Furious ที่กลายเป็นยี่ห้อของหนังรถแข่งไปแล้ว แต่  Need for Speed ก็มีเอกลักษณ์ในแบบของมันครับ 

คลิกชมคลิปเบื้องหลังพร้อมฉากตัวอย่างได้ด้านใน


                                     


By: EraOfGirls

Wednesday, May 15, 2013

มาร์เวลทำหนังสั้นเผยเรื่องราวของเพ็คกี้ คาร์เตอร์หลังเหตุการณ์ใน Captain America ภาคแรก





เฮย์ลีย์ แอทเวลล์ ผู้รับบทเพ็คกี้ ตาร์เตอร์ คนรักของกัปตันอเมริกาในยุคอดีตออกมาเผยกับทาง The Big Issue ว่า "แฟนๆของหนังภาคแรกอยากรู้มากเลยค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพ็คกี้หลังจากนั้น ทางมาร์เวลเลยกำลังทำหนังสั้นออกมา เกี่ยวกับว่า 'เพ็คกี้ทำอะไรต่อหลังจากนั้น' ซึ่งหนังสั้นนี้จะฉายในงาน Comic-Con และจะอยู่ในโบนัสพิเศษของดีวีดีหนังภาคสองด้วยค่ะ ก็คือนอกจากจะมารับบทเล็กๆในหนังภาคใหม่แล้ว ก็มีหนังสั้นแยกเดี่ยว(ของเพ็คกี้)ด้วยค่ะ การได้กลับมาฝึกกับผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์และได้กลับมาลุยบู๊อีกครั้งเป็นเรื่องที่ดีมากๆค่ะ"

ซึ่งเฮย์ลีย์ แอทเวลล์เองก็จะกลับมารับบทใน Captain america: The Winter Soldier ด้วย แต่คาดกันว่าน่าจะเป็นในฉากเล่าย้อนอดีตมากกว่า โดยเธอเองเป็นคนเสนอไอเดียหนังสั้นเกี่ยวกับตัวเพ็คกี้ คาร์เตอร์มาตั้งแต่แรก จนมาร์เวลตอบรับความปรารถนา และนำมาสร้างเป็นหนังสั้นตอนเดียวจบนั่นเอง  

Captain America: The Winter Soldier กำหนดฉายเดือนเมษายนปี 2014

Source: Total Film; George Wales

Friday, May 3, 2013

เท่ระห่ำกู้ชาติในใบปิดใหม่ White House Down ของผู้กำกับจอมถล่มโลก Roland Emmerich


พร้อมทวงอำนาจของชาติคืน 29 สิงหาคมนี้ เข้าฉายประเทศไทย

via thefilmstage

By: EraOfGirls

โปสเตอร์อภิมหึมามหาใหญ่ยักษ์ของ Pacific Rim

ใหญ่ยักษ์อลังการปานจอ IMAX ขนาดนี้ คลิกด้านในเพื่อชมภาพขนาดเต็มๆ



ขนาดภาพไฟล์เท่ากับ 15 MB กว่าๆ ใหญ่ดีไหมล่ะ

Pacific Rim พร้อมเคลื่อนพลถล่มอสูรกายยักษ์ 11 กรกฎาคมนี้

via Comingsoon; Warner Bros. Pictures

By: EraOfGirls

ฉากใหม่เพียบในตัวอย่าง White House Down หนังถล่มทำเนียบขาวล่าสุด จัดเต็มทั้งแอคชั่นและ...

 


White House Down วินาทียึดโลก 

พร้อมบุกถล่มทำเนียบ 29 สิงหาคมนี้


ตลกร้ายนะ ว่าไหม?

via joblomovienetwork

By: EraOfGirls

Thursday, May 2, 2013

เผยภาพคอนเซปต์อาร์ตใหม่จาก Captain America: The Winter Soldier พร้อมเรื่องราวเพิ่มเติม

ประธานแห่งสตูดิโอมาร์เวล เควิน ฟีกจ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Entertainment Weekly เกี่ยวกับ Captain America: The Winter Soldier ว่า 

"เราจะไม่กลับไปเล่าเรื่องตอนสงครามโลกครั้งที่ 2ครับ กัปตันเดินทางข้ามเวลาไม่ได้ เพราะฉะนั้นในขณะที่โทนี่(สตาร์ค)ได้กลับบ้านที่มาลิบูและธอร์ก็กลับขึ้นสู่อาณาจักรแอสการ์ดกับฮัล์คที่คงพเนจรไปไหนสักที่ กัปตันของเรากลับติดแหงกครับ เขาเลยต้องอยู่กับหน่วยชีลด์ (S.H.I.E.L.D.)แทนเพราะไม่มีที่อื่นให้ไปแล้ว แต่อยู่ที่นั่นเขาก็ไม่ค่อยจะสบายใจสักเท่าไหร่นัก  และเมื่อเขาได้รับอนุญาตให้ปล่อยวางเรื่องในอดีตและตั้งใจอยู่กับโลกยุคปัจจุบันแทนนั้น ปีศาจก็โผล่มาครับ ในยุคสมัยที่รุ่งเรื่องที่สุดตอนยุคสงครามโลกครั้งที่2 มีแนวโน้มที่จะสะท้อนดูช่วงเวลานั้นแล้วบอกว่า 'สมัยนั้นทุกอย่างมันคลุมเครือ และตอนนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าใครเป็นวายร้ายกันแน่ 'เราอยากจะทดสอบกับกัปตันเล่นๆดูในยามที่เขารู้สึกอึดอัดใจกับแนวทางที่หน่วยชีลด์และนิค ฟิวรี่ปฏิบัติครับ' "


นอกจากบทสัมภาษณ์เควิน ฟีกจ์แล้ว ทาง Entertainment Weekly ยังได้เผยภาพคอนเซปต์อาร์ตของ Captain America: The Winter Soldier ออกมาด้วย ชายที่อยู่ในภาพก็คือ The Winter Soldier อดีตเพื่อนรักของกัปตันอเมริกาที่กลับมาเป็นศัตรูและตัวร้ายหลักของภาคต่อเรื่องนี้เอง





ช่วงนี้ก็มีความคืบหน้าที่ค่อยๆเผยออกมาเรื่อยๆในขณะที่ Iron Man 3 กำลังกวาดถล่มรายได้ในบ้านเราอยู่ แล้วเดี๋ยวจะตามมาด้วย Thor: The Dark World (ธอร์: โลกาทมิฬ) ในวันที่ 7 พฤศจิกายน ก่อนที่ Captain America: The Winter Soldier จะฉายในช่วงเดือนเมษายนปีหน้า (2014) ปิดท้าย  Guardians of the Galaxy ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ก่อนที่ฮีโร่ทั้งหมดจะกลับมารวมพลกันใน The Avengers 2 เดือนพฤษภาคมปี 2015 โน่น


ใครที่อดใจรอไม่ไหวก็ไม่ต้องห่วง ตอนนี้นักแสดงกับผู้สร้างก็ได้เรียกชื่อของ Captain America: The Winter Soldier เล่นๆว่าเป็น The Avengers 1.5 เพราะมีทั้งหน่วยชีลด์และแบล็ค วิโดว์-นาตาชา โรมานอฟ กับฮีโร่อื่นๆมาร่วมสมทบด้วย ฟังๆไปก็เหมือนกับว่าผู้กองสตีฟของเราไม่ได้ฉายเดี่ยวเหมือนอย่างเฮียโทนี่หรือพี่ธอร์เขาเท่าไหร่นัก


via COMICBOOKMOVIE; DCMarvelFreshman


By: EraOfGirls